หลังจากการค้นคว้าพบว่า พลังสีเขียวจากอัลฟัลฟ่ามีคุณค่าทางอาหารที่ดีที่สุด แต่ยังต้องค้นคว้าหาวิธีสกัดและรักษาให้อยู่ในรูปที่ให้ความสดใสเสมือนมีชีวิต (Vital) เพื่อรักษาคุณค่าของสารอาหารเหล่านั้น จากการค้นคว้าอย่างต่อเนื่องมานานนับศตวรรษ ได้ค้นพบขบวนการผลิตสารสีเขียวนี้ ที่สามารถจะถนอมคุณค่าทางโภชนาการได้อย่างครบถ้วน และเป็นสารที่ร่างการสามารถย่อยได้ง่ายและร่างกายสามารถดูดซึมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขบวนการเหล่านี้ เริ่มต้นด้วยการทำความสะอาดใบที่เติบโตเต็มที่ แต่ไม่แก่จนเกินไปและแยกเส้นใยออกด้วยลูกกลิ้งชนิดพิเศษที่สามารถคั้นเอาน้ำสีเขียวออกมาได้ น้ำอัลฟัลฟ่าสีเขียวนี้จะถูกดูดความชื้นออกไปและทำให้แห้งภายใน 3 วินาที โดยวิธีการฟรีซดรายภายใต้อุณหภูมิเย็นพิเศษ เพื่อให้ได้คลอโรฟิลล์ ที่ละลายน้ำได้ 100 % ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุและสารอาหาร
เนื่องจากร่างกายของมนุษย์มีเอมไซม์มากกว่า 3,000 ชนิด เพื่อทำหน้าที่ต่างๆ เอ็มไซม์ทำหน้าที่เป็นตัวก่อให้เกิดปฏิกิริยา หรือเร่งปฏิกิริยาของร่างกายให้รวดเร็วขึ้น เอ็มไซด์มีบทบาทต่อทางชีวเคมีของร่างกายอย่างสำคัญยิ่ง ขบวนการผลิต คลอโรฟิลล์ ที่ดีต้องคำนึงถึงคุณค่าอันสูงส่งที่มีต่อร่างกายจึงใช้วิธีการผลิตที่ใช้อุณหภูมิเย็นพิเศษ และใช้ระยะเวลาการระเหยแห้งเพียง 3 วินาทีเท่านั้น ทำให้สามารถถนอมเอ็มไซม์ เอาไว้ได้อย่างดี เป็นเทคโนโลยีการผลิตแบบใช้เทคโนโลยีสูงสุดเท่าที่มีอยู่ในโลกในปัจจุบันและต้นทุนการผลิตก็สูงที่สุดด้วย ซึ่งวิธีการนี้เรียกว่า ฟรีซดราย (Freeze Dry)
กรรมวิธี ฟรีซดราย (Freeze Dry)
เป็นกรรมวิธีเพื่อให้คงสภาพและสารอาหารอย่างครบถ้วน หลังวัตถุดิบที่ได้ (Raw Material) จะถูกส่งไปวิเคราะห์คุณภาพที่ห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัย คลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) ของ De Souza ต้องมีความบริสุทธิ์ไม่ต่ำกว่า 98 % (มาตรฐานองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา FDA คือ 95 %) ถึงเรียกว่า คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ Pure Chlorophyll ทุกครั้งที่ผลิตจะได้รับ การตรวจสอบคุณภาพอย่างละเอียดก่อนที่จะถูกส่งไปยังหน่วยผลิต ซึ่งมาตราฐาน ISO 9002 เพื่อเป็นน้ำต่อไป
ความสำคัญของการละลายน้ำได้
โดยปกติแล้วไม่ว่าผลิตภัณฑ์อาหารเสริมชนิดใดก็ตาม เป็นที่ทราบกันในวงการแพทย์และเภสัชกรรมว่า สารที่อยู่ในรูปของการละลายในน้ำมัน (Oil Soluble) นั้นจะเกิดการตกตะกอนหรือจับเอาตะกอนไปสะสมอยู่ที่ตับ ซึ่งเท่ากับเป็นการสะสมสารพิษและทำลายตับโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นผลิตภัณฑ์ที่คำนึงถึงสุขภาพของผู้บริโภคจะมีกระบวนการผลิตที่ดีเพื่อให้สามารถอยู่ในรูปของการละลายน้ำได้ (Water Soluble) ร่างกายจะสามารถดูดซึมไปใช้ได้ทั้งหมดไม่เหลือตะกอนใดๆ ให้ไปทำลายตับ ดังนั้น องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา จึงให้การรับรองเฉพาะ คลอโรฟิลล์ที่ละลายน้ำได้ (water soluble chlorophyll) เท่านั้น ว่าปลอดภัยต่อการบริโภคของคน ถึงแม้ว่าจะบริโภคในปริมาณมากต่อวัน ก็ไม่เกิดผลเสียต่อร่างกายแต่อย่างใด
การดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย
สิ่งสำคัญอีกข้อหนึ่งคือ ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถสกัด คลอโรฟิลล์ (chlorophyll) ออกจากเหยื่อหุ้มเซลล์ของพืชได้ เนื่องจากมนุษย์ไม่มีเอมไซม์ที่ชื่อว่า เซลล์ลูเลส (Cellules) ดังที่มีในสัตว์หลายชนิด ที่เวลาเจ็บป่วยมักจะกินผักสด หรือหญ้าสด เพื่อรักษาตัวเอง เพราะสกัดคลอโรฟิลล์ได้เอง ดังนั้น ผลิตภัณฑ์ที่อ้างว่ามีส่วนผสมของ คลอโรฟิลล์ (chlorophyll) ไม่ว่าปริมาณใดก็ตาม หากไม่ผ่านกรรมวิธีการสกัดเอาเหยื่อหุ้มเซลล์ออกก็ไม่สามารถจะได้ประโยชน์อะไรจาก คลอโรฟิลล์ (chlorophyll) นั้นเลย.
คลอโรฟิลล์ช่วยคุณได้อย่างไร..? (How can chlorophyll help you… ?)
จากประสบการณ์ของผู้ใช้-ผู้บริโภคจากทั่วโลก ได้ข้อสรุปที่น่าสนใจของคลอโรฟิลล์ ดังนี้
• ทำให้สดชื่น หายเหนื่อยจากการอ่อนเพลีย
• ลดความดันโลหิต ลดปัญหาเส้นเลือดหัวใจตีบ
• ปรับระดับน้ำตาลสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน
• ทำให้อาการของคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ แพ้อากาศ ผื่นลมพิษทุเลาลง
• ขับกรดจากข้อต่อต่างๆ ทำให้อาการปวดข้อ ปวดเมื่อยตามตัวทุเลาลง
• ขับสารพิษออกจากร่างกาย สารตกค้างของยาปฏิชีวนะ สารเคมีตกค้างในอาหาร ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานดี สุขภาพแข็งแรง สดชื่นขึ้น
• เพิ่มประสิทธิภาพเม็ดเลือดแดงและเซลล์เม็ดเลือดแดง ทำให้ระบบเลือดไหลเวียนดีขึ้น
• ป้องกันการเจริญเติมโตของเซลล์มะเร็ง
• แก้ปัญหาท้องผูก การขับถ่ายจะดีขึ้น ริดสีดวงทวารทุเลาและหายได้
• ช่วยดับกลิ่นตัว กลิ่นปาก กลิ่นเท้า
• บรรเทาอาการชา บวมและเส้นเลือดขอดให้ทุเลาลงได้
• ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย, การใช้รักษาแผลอักเสบ, แผลเปื่อย, แผลเรื้อรัง, แผลถลอก, แผลไฟไหม้, เหงือกอักเสบ, แผลในปาก
• บรรเทาอาการปวดศีรษะทั่วไป และปวดศีรษะไมเกรนได้
• แก้ปัญหาเรื่องสิว, ฝ้า, ปวดประจำเดือน, ประจำเดือนมาไม่ปกติ
• ช่วยให้ผู้ที่เป็นต้อกระจกมองเห็นได้ดีขึ้น
• มีสารอาหารบำรุงเส้นผม ทำให้ผมหงอกดำขึ้น ช่วยลดอาการผมร่วง
ข้อมูลข้างต้นเรียบเรียงจากหนังสือและข้อเขียนของ ดร.ฮาวเวิร์ด ไปเปอร์ (Dr. HOWARD PEIPER)