มนุษย์เป็นสัตว์กินพืช จริงหรือ…? โครงสร้างร่างกายของมนุษย์คล้ายสัตว์กินพืชจำพวกเลี้ยงลูกด้วยนม ซึ่งแตกต่างจากสัตว์กินเนื้อ ซึ่งฟันของมนุษย์มีลักษณะแบนไม่แหลมคมพอที่จะกัดหรือฉีกเนื้อหนังและกระดูกของสัตว์ ลำไส้ของมนุษย์นั้นยาวมาก เป็นลักษณะเหมือนของสัตว์กินพืชชั้นสูง ส่วนสัตว์กินเนื้อจะมีโครงสร้างที่สามารถย่อยและขับเนื้อให้ออกจากร่างกายได้เร็วที่สุด โดยลำไส้สัตว์กินเนื้อยาวเป็น 3 เท่าของช่วงตัว มีกรดเกลือที่เข้มข้นมากกว่ามนุษย์ 20 เท่า สัตว์กินเนื้อไม่มีปัญหาอะไรสำหรับอาหารของมัน เพราะมันสามารถย่อยได้ แต่มนุษย์มีลำไส้ยาว 12 เท่าของช่วงตัว มีกรดเกลือเล็กน้อยพอจะย่อยพืชผักเท่านั้น ดังนั้นเมื่อกินเนื้อเข้าไปทำให้ย่อยยากและลำไส้ก็ยาว จึงทำให้ก้อนเนื้อที่กินเข้าไปจะเน่าหมักหมมในลำไส้ ทำให้เกิดการดูดซึมสารพิษหมุนเวียนกลับเข้าไปในร่างกายอีก ระบบการย่อยของมนุษย์เริ่มต้นตั้งแต่ในปาก โดยต่อมน้ำลายขับเอมไซม์ เพื่อแยกสลายเซลล์ที่ซับซ้อนของพืช สัตว์กินเนื้อจะไม่มีเอนไซม์ชนิดนี้จะมีแต่เอนไซด์ ยูริเคส ซึ่งมีหน้าที่แยกสลายกรดยูริกในเนื้อสัตว์ ซึ่งมนุษย์ไม่มี
ข้อสังเกตอย่างง่ายที่สัตว์กินพืช กับสัตว์กินเนื้อแตกต่างกันก็คือ เรื่องของแรงดูด สัตว์กินพืชมีขนาดลำไส้ที่ยาวทำให้มีแรงดูด ทำให้เวลากินน้ำสามารดูดน้ำได้ เช่น ช้าง เป็นต้น ซึ่งแตกต่างจากสัตว์กินเนื้อ เช่น แมว สุนัข ลำไส้สั้นมีกรดเกลือที่รุนแรงเวลากินน้ำจะใช้ลิ้นตวัดน้ำ สำหรับมนุษย์คุณว่าเป็นสัตว์กินพืช หรือสัตว์กินเนื้อ ?
[กลับด้านบน]
ทำไมเนื้อสัตว์ จึงมีอันตราย…? ในเนื้อสัตว์และไขมันสัตว์จะมีไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลสูง ซึ่งเป็นตัวการทำให้เกิดโรคหลอดเลือดอุดตัน ผนังหลอดเลือดแข็งตัว และโรคหัวใจ คนส่วนใหญ่ที่ชอบรับประทานเนื้อสัตว์เป็นโรคหัวใจกันมากกว่าคนที่ชอบรับประทานอาหารจากพืชถึง 3 เท่า มะเร็งลำไส้ใหญ่และที่ทวารหนักถึง 2 เท่า มะเร็งเต้านมมากกว่า 3 เท่า เนื้อสัตว์ที่คุณรับประทานเข้าไปใช้ประโยชน์ได้แค่ 67 % ที่เหลืออีก 33 % ก็คือพิษสะสมขังระหว่างที่อยู่ในร่างกาย ซึ่งเรื่องนี้คนทั่วไปไม่ทราบ เนื่องจากยังไม่มีใครเคยบอก โดยเนื้อเหล่านี้จะสะสมที่ลำไส้ใหญ่ โดยจะไปพอกที่ลำไส้ใหญ่ ลำไส้ที่เคยมีที่ว่างจะค่อยๆ อุดตันถ้าเป็นระยะเวลานาน รูของลำไส้ก็เกิดการตีบตันเหลือช่องว่างนิดเดียว ระหว่างที่ขังก็จะเกิดพิษไหลย้อนกลับเข้าเส้นเลือดไปทั่วร่างกาย สังเกตได้ว่าคนไทยรุ่น ปู่ ย่า ตา ยาย ไม่นิยมบริโภคเนื้อสัตว์ หรือถ้าบริโภคก็มีนานๆ ครั้ง คนที่บริโภคเนื้อมากๆ จะทำให้ตับ ไต อวัยวะสำคัญที่ช่วยกำจัดสารพิษให้ร่างกายทำงานหนักมากผิดปกติ ทำให้ระดับแคลเซียมในร่างกายลดลง เป็นสาเหตุของการเกิดโรคกระดูกพรุน นอกจากนี้กรดยูริคที่มีมากในเนื้อสัตว์ก็จะสะสมอยู่ตามข้อต่อต่างๆ ตามร่ายกาย ทำให้เจ็บปวดตามข้อกลายเป็นโรคเกาต์ และนอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีอย่างมากในสัตว์ที่ตกใจกลัวสุดขีดสารพิษต่างๆ เช่น ฮอร์โมนอะดรีนาลิน และกรดยูริค ซึ่งถูกขับออกมาเมื่อสัตว์เกิดความกลัวจัด หรือได้รับความรุนแรงจะกระจายไปทั่วร่างของสัตว์ และตกค้างอยู่ตามเส้นเลือดและเนื้อเยื่อ และเมื่อสัตว์ตายลงใหม่ๆ สารโตเม็น (PTOMAINE) จะถูกขับออกมาเพื่อมาเร่งการสลายตัว และเน่าเปื่อยของร่างกาย นอกจากสารเคมีภายในตัวของสัตว์เอง ยังมีสารเคมีที่ปะปนอยู่ในเนื้อสัตว์ในขั้นตอนต่างๆ ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 อาหารที่สัตว์กินเข้าไปไม่ใช่อาหารที่เป็นธรรมชาติเหมือนเช่นในอดีต ทุ่งหญ้าจำนวนมากถูกคุกคามโดยสารมีต่างๆ เช่น ปุ๋ยเคมี และสารกำจัดศัตรูพืช รวมทั้งการใช้สารเร่งโต และยาปฏิชีวนะ สารเหล่านี้สลายตัวได้ยากและถูกสะสมอยู่ในร่างกายของสัตว์ในปริมาณที่สูง กว่าสัตว์เหล่านั้นจะถูกฆ่าเพื่อนำมาเป็นอาหาร สัตว์ก็ได้รับปริมาณสารพิษในปริมาณเข้มข้น เพราะเนื้อสัตว์มีสารเคมีมากกว่าผักผลไม้ถึง 11 เท่า ขั้นตอนที่ 2 การกระตุ้นการเจริญเติบโต และการปรับปรุงคุณภาพเนื้อสัตว์ที่ได้ โดยฉีดฮอร์โมน และยาเร่งหลายประเภทรวมถึงยาปฏิชีวนะ ยากล่อมประสาท ยาเจริญอาหาร ในรูปแบบของอาหารสำเร็จรูปหัวเชื้อขั้นตอนที่ 3 การปรับปรุงเนื้อสัตว์ให้ดูสด และอยู่นาน น่ารับประทาน โดยฉีดสารไนเตรท ไนไตรท์ คอปเปอร์ซัลเฟต และวัสดุกันเสียอื่นๆ เช่น ฟอร์มารีน ทำใหผู้บริโภคเนื้อสัตว์เสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง
[กลับด้านบน]
ทำไมต้องใช้คลอโรฟิลล์ จากต้นอัลฟัลฟา…?
คลอโรฟิลล์ คือ สารที่เป็นรงควัตถุสีเขียว ที่มีอยู่ในพืชทั่วไปแต่พบว่าในปริมาณพืชที่เท่ากัน อัลฟัลฟาเป็นพืชที่ให้คลอโรฟิลล์ ในปริมาณที่สูงมากกว่าพืชชนิดอื่นๆ หลายเท่าตัว อาจจะเรียก อัลฟัลฟา ว่าเป็นแหล่งของคลอโรฟิลล์ ที่ดีและสมบูรณ์ก็ได้ ในการวิจัยค้นคว้าพืชอาหารในฝันที่อุดมด้วยโภชนาการ ได้มีการวิเคราะห์ พืชอาหารแทบทุกชนิดมากกว่า 6,000 ชนิด รวมถึงพืชสมุนไพรในประเทศไทยก็ถูกส่งไปตรวจสอบด้วยเช่นกัน ซึ่งมีทั้งถั่ว ผัก หญ้า และพืชสมุนไพรต่างๆ จากเมล็ด ใบ ต้น ของพืชเหล่านั้น ในที่สุดค้นพบว่าคลอโรฟิลล์จากอัลฟัลฟ่า นั้นคือ พืชอาหารในฝัน
อัลฟัลฟ่า เป็นพืชตะกูลถั่ว ซึ่งขึ้นในแถบทะเลทรายเมื่อ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล อัลฟัลฟ่าและนำมาใช้เป็นสมุนไพร เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของร่างกาย อัลฟัลฟ่า นอกจากอุดมไปด้วยสารอาหารแล้วยังมีคลอโรฟิลล์ สูงเป็นพืชที่ให้เอสโตรเจนธรรมชาติรวมไปถึง เอมไซม์หลัก 8 ชนิด คือ ไลเปส (Lipase) , อามีเลส (Amylase) , โคกูเลส (Coagulase) , อีมัลชิน (Emulsin) , อินเวอเทส (Invertase) , เปอร์ออกซิเดส (Peroxidase) , เพคติเนส (Petinase) และ โปรตีส (Protese) ที่สามารถต่อต้านสารพิษต่างๆ ได้ดีกว่าพืชชนิด อื่นๆ คลอโรฟิลล์ จากอัลฟัลฟ่ามีคุณภาพดีที่สุดโดยการทดสอบจากพืชทั่วโลก (รวมทั้งสมุนไพรไทยก็ถูกนำไปทดสอบด้วยเช่นกัน) รวมทั้งสินกว่า 6000 ชนิด โดยวิธีการการสกัดใช้เทคนิคเฉพาะอย่างน้อย 15 ขั้นตอน ซึ่งได้ผลผลิตที่ดีคือ ใบสดของอัลฟัลฟ่า 1 กิโลกรัม ได้ คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 2.25 กรัมซึ่งมีปริมาณ คลอโรฟิลล์ มากกว่าพืชชนิดอื่นๆ
จากพืชกว่า 6000 ขนิดพบว่าพืชที่ให้ คลอโรฟิลล์ ที่บริสุทธิ์และดีที่สุดคือ อัลฟัลฟ่า (Alfalfa) ซึ่งจัดเป็นพืชจำพวกมีฝัก (legumes) ตระกูลถั่วและมีระบบรากที่มหัศจรรย์มาก ในยางพื้นที่รากของอัลฟัลฟ่าสามารถชอนไชลงไปได้ลึกกว่า 130 ฟุต จึงมีประสิทธิภาพในการดูดซึมอาหารได้มากกว่าและบริสุทธิ์กว่า อีกทั้งตัวมันเองจะไม่สะสมสารพิษ ชาวอาหรับโบราณรู้จักใช้ประโยชน์จาก อัลฟัลฟ่า (Alfalfa) มากกว่า 2,000 ปี ก่อนคริสตกาล โดยใช้เป็นพืชเลี้ยงสัตว์และใช้ใบมาตากแห้งชงเป็นชาดื่ม จึงขนานนามให้เป็น AL-FAS-FAH-SAH หรือ ราชาแห่งอาหารทั้งมวล ประโยชน์ของ อัลฟัลฟ่า สามารถใช้บำบัดอาการปอดบวม และอักเสบต่างๆ เช่น ปวดข้อ จนกระทั่งถึงความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร และเซลล์ตับถูกทำลาย นอกจากนี้ อัลฟัลฟ่า สามารถช่วยให้เลือดสะอาดขึ้น อัลฟัลฟ่า เป็นพืชที่ให้กรดอะมิโนที่จำเป็นครบทั้ง 8 ชนิด ซึ่งได้แก่ กรดอะมิโนโซลิงซีน, ลิวซีน, เมไธโอนีน, พีนิลอะลานีน, เทรโอนีน, ทริปโตฟานและวาลีน กรดอะมิโนเหล่านี้ร่างกายสร้างเองไม่ได้ แต่จำเป็นต้องมีไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในการสร้างเซลล์ใหม่ในอัลฟัลฟ่ายังมี วิตามินเอ , บี 6, บี 12, ดี, อี และ เค รวมทั้งเกลือแร่ เช่น ฟอสฟอรัส, โปรแตสเซี่ยม, แคลเซี่ยม, สังกะสี, เซเลเนี่ยมและแมกนีเซี่ยม เป็นต้น ในพืชอัลฟัลฟ่า ประกอบด้วยเอมไซม์หลักอีก 8 ชนิด คือ ไลเปส (Lipase) , อามีเลส (Amylase) , โคกูเลส (Coagulase) , อีมัลชิน (Emulsin) , อินเวอเทส (Invertase) , เปอร์ออกซิเดส (Peroxidase) , เพคติเนส (Petinase) และ โปรตีส (Protese) มนุษย์เราต้องการเอมไซด์มากกว่า 3,000 ชนิด แต่ร่างกายสร้างได้เองเพียงไม่กี่ชนิด
นอกนั้นต้องบริโภคจากอาหารสดประจำวัน ประเภทพืชผักและ ผลไม้ต่างๆ แต่ถ้าหากอาหารเหล่านี้ผ่านความร้อนเกินกว่า 55 องศา ขึ้นไป เอ็นไซม์ต่างๆ จะเสื่อมหรือเปลี่ยนรูปไปและร่างกายจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ร่างกายต้องการเอนไซม์เพื่อช่วยปรับระดับความสมดุลย์ของระบบคุ้มกันต่างๆ และจากวิธีการรับประทานอาหารในปัจจุบันนี้ เราได้รับเอนไซม์เข้าไปในร่างกายน้อยมาก ในอัลฟัลฟ่า ยังมี ซาโปนิน ซึ่งเป็นสารที่มีผลในการอุตันของเลือด และช่วยยับยั้งคลอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) ในเลือดลดลงได้จึงช่วยลดความดันโลหิตลง ไอโซฟลาโวน, ฟลาโวนและสโตอโรล ในอัลฟัลฟ่า ยังช่วยกระตุ้นการสร้างฮอร์โมนเอสโตเจน และปรับระดับ ฮอร์โมนดังกล่าวในผู้หญิง ทั้งก่อนมีรอบเดือน และอยู่ในวัยที่ใกล้หมดรอบเดือน
[กลับด้านบน]
สารคลอโรฟิลล์ ส่งผลดี ต่อระบบร่างกายมนุษย์ ได้อย่างไร.. ? ศาสตราจารย์ ฮานส์ ฟิชเชอร์ (Hans Fisher , M.D.) ได้รับรางวัลโนเบลในปี ค.ศ. 1930 โดยท่านพบว่าสารคลอโรฟิลล์ เป็นสารสีเขียวจากพืช ที่มีสูตรโครงสร้างทางเคมี ใกล้เคียงกับสารฮีโมโกลบินของเม็ดเลือดแดงของมนุษย์มาก แตกต่างกันก็แต่เพียงสารเคมีที่เป็นโครงสร้างในส่วนของอะตอมที่ คลอโรฟิลล์เป็นอะตอมของธาตุแมกนีเซียม ส่วนของฮีโมโกลบินเป็นอะตอมของธาตุเหล็ก ซึ่งมีหน้าที่ในการจับออกซิเจน เพื่อพาไปเลี้ยงเนื้อเยื่อหรือเซลล์ต่างๆ ในร่างกายเพื่อสร้างพลังงานต่อไป เมื่อเรา เมื่อเราได้รับคลอโรฟิลล์เข้าไปในร่างกายก็เปลี่ยนสารคลอโรฟิลล์ ให้เป็นสารตั้งต้นที่ตับแล้วถูกส่งต่อไปสร้างเม็ดเลือดแดงต่อไปในไขกระดูก ทำให้ปริมาณเม็ดเลือดแดงมากขึ้น ปกติพบว่าร่างกายมนุษย์เม็ดเลือดจะถูกทำลายตลอดเวลาประมาณ 2-2.5 ล้านเซลล์ต่อวัน คุณ ประโยชน์หลักของการดื่มคลอโรฟิลล์ก็คือ การชำระล้าง ขจัดสารพิษ และสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย / รักษาสมดุล / บำรุงรักษา คือเพิ่มปริมาณออกซิเจนและเม็ดเลือดแดงช่วยเสริมบำรุงสุขภาพของเราให้ดีขึ้น คลอโรฟิลล์ มีแร่ธาตุธรรมชาติมากมาย ประกอบไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน โปรตีน และสารอาหารต่างๆ ที่มีความจำเป็นต่อร่างกายปรับความเป็นกรดเป็นด่างในร่างกายของเรา มนุษย์ควรบริโภคคลอโรฟิลล์เพื่อเสริมฮีโมโกบิลในเม็ดเลือด ดังคำกล่าวที่ว่า "เลือดพืชมีสีเขียว เลือดมนุษย์มีสีแดง มนุษย์จะมีสุขภาพที่ดีได้เลือดจะต้องไม่มีพิษ จงล้างพิษด้วยพืชสีเขียว"
ขบวนการลำเลียงสารอาหารเข้าสู่เซลล์ในร่างกายมนุษย์
[กลับด้านบน]
อะไรคือ คุณประโยชน์ของคลอโรฟิลล์ จาก อัลฟัลฟา …?
ตอบ จากที่กล่าวมาจากหัวข้อที่ 1 อาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายอย่างแท้จริง จึงได้แก่อาหารจากพืช เพราะประโยชน์ของอาหารจากพืชจะทำให้ระบบย่อยอาหาร กระเพาะอาหารและลำไส้ทำงานดีขึ้น หลักฐานทางวิทยาศาสตร์มากมายได้พิสูจน์แล้วว่า การบริโภคอาหารจากพืชให้ทั้งประโยชน์และคุณค่าที่เพียงพอ และเหนือกว่าอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น การแพทย์สมัยใหม่ค้นพบว่าโรคภัยไข้เจ็บในปัจจุบันมากมาย เกิดจากการบริโภคอาหารที่ทำมาจากเนื้อสัตว์
ในอดีตชาวอาหรับได้ใช้ต้นอัลฟัลฟ่าเลี้ยงม้า และพบว่าพืชชนิดนี้ทำให้ม้าแข็งแรงทนทำงานหนักได้ สุขภาพดีไม่ค่อยป่วย และที่สำคัญวิ่งได้เร็วกว่าม้าจากที่อื่นๆ จนชาวอาหรับได้ทดลองทานเอง ผลปรากฏว่าร่างกายแข็งแรงขึ้น กระปรี้กระเปร่า ไม่เหนื่อยง่าย สรรพคุณดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่เล่าขานสืบต่อมา ในเรื่องการเป็นอาหารบำรุงสุขภาพ จนมีการขนานนามของอัลฟัลฟ่าว่า “บิดาแห่งอาหารทั้งมวล (The Father of All Foods)”
อัลฟัลฟ่าเป็นพืชตระกูลถั่ว ลำต้นสูงจากพื้นดินประมาณ 1 เมตร แต่รากลึกถึง 130 ฟุต และขยายกว้างออกไปได้อีกถึง 10 เมตร ดังนั้น คลอโรฟิลล์ ที่ได้จากต้นอัลฟัลฟ่าจึงมีความแตกต่างจาก คลอโรฟิลล์ ที่ได้จากพืชชนิดอื่น เนื่องจากสามารถดูดซึมเอาสารอาหารต่างๆ โดยเฉพาะเกลือแร่ไว้ในลำต้นมากมายหลายชนิด และพบว่าที่ชั้นดินที่ระดับต่างกัน จะพบเกลือแร่แต่ละชนิดจะมีความหนาแน่นของโมเลกุลที่แตกต่างกัน อัลฟัลฟ่ามีรากลึกจึงสามารถดูดซับเกลือแร่ที่จำเป็นต่อสิ่งมีชีวิตได้ครบทุกชนิด
ในส่วนของใบอัลฟัลฟ่ายังเป็นแหล่งรวมสารอาหารอื่นๆ รวมทั้งเป็นแหล่งของสาร คลอโรฟิลล์ ดังนั้นคลอโรฟิลล์ที่ได้จากต้นอัลฟัลฟ่าจึงมีความแตกต่างจาก คลอโรฟิลล์ ที่ได้จากต้นไม้ชนิดอื่นๆ และยังมีปริมาณของคลอโรฟิลล์ที่มากที่สุด จึงถูกเลือกในการนำมาสกัดเอาสารคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในปัจจุบัน
สำหรับคุณประโยชน์ของคลอโรฟิลล์จากอัลฟัลฟ่า ก็สรุปได้ดังนี้คือ
• เป็นสารตั้งต้นในการสร้างเม็ดเลือดแดง นำพาสารอาหารไปยังเซลล์และส่วนต่างๆ ของร่างกาย
• ขับล้างสารพิษ สารเคมีตกค้าง หรืออนุมูลอิสระ
• ซ่อมแซมและสร้างเซลล์ใหม่ เช่น ทำให้ผมงอกใหม่ดำขึ้น ลดอาการผมร่วง ชะลอความเสื่อมของเซลล์ ความชรา ของอวัยวะต่างๆ
• ดับกลิ่นภายใน เช่น กลิ่นปาก กลิ่นตัว รักษาแผลในปาก
• ส่งเสริมขบวนการรักษาแผล เช่น แผลอักเสบ แผลเรื้อรัง แผลทุกชนิด
• ลดอาการเจ็บปวดโรคเก๊า
• บรรเทาอาการโรคภูมิแพ้ เช่น แพ้อากาศ ผื่นลมพิษ
• ทำให้ระบบเลือดไหลเวียนดีขึ้น ลดความดันโลหิต และทำให้โลหิตบริสุทธิ์
• บรรเทาอาการโรคกระเพาะ และลำไส้อักเสบ ลดปัญหาท้องผูก ริดสีดวงทวาร
• ช่วยลดน้ำตาลในเลือด สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ส่งเสริมการทำงานของตับ
• บรรเทาอาการปวดศรีษะ เช่น ไมเกรน บรรเทาอาการชา บวม เส้นเลือดขอด
• เพิ่มออกซิเจนให้ร่างกาย เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ลดปัญหาการนอนไม่หลับ
[กลับด้านบน]
ผู้ใดได้ประโยชน์จาก คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 %…?
• ผู้ที่มีอาการอ่อนเพลียอยู่เสมอ เหนื่อยง่าย ผอมซูบซีด ปากเขียวคล้ำ เล็บมือเขียวคล้ำ ผู้มีปัญหาเกี่ยวกับระบบเลือด
• ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยระยะพักฟื้นหลังผ่าตัดที่มีการสูญเสียเลือดมาก สตรีหลังมีประจำเดือน
• ผู้ที่ต้องการกำลังงานจากก๊าซออกซิเจนมาก เช่น นักกีฬา หรือผู้ออกกำลังอย่างหนัก
• ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อภาวะผิดปกติจากการเสื่อมของร่างกาย
• ผู้ที่ต้องการป้องกันภาวะความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ หรือการขับสารพิษที่คาดว่าจะมีการสะสมในร่างกาย
• ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบความดันโลหิตสูง ไขมันในเส้นเลือดสูง เส้นเลือดตีบ
• ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับความดันต่ำ หน้ามืดบ่อย อึดอัดหน้าอก หายใจไม่เต็มอิ่ม ใจสั่นหวิว กลัวเสียงดัง หนาวในอก มือเท้าเย็น อารมณ์เสียง่าย
• ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบเลือด เช่น เกล็ดเลือดต่ำ เลือดจาง ปรับสมดุลของเลือด ล้างสารพิษ บำรุงเลือด
• ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบน้ำตาลในเลือดสูง สำหรับกรณีผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน
• มีอาการปวดข้อ ปวดเมื่อยตามตัว
• ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับท้องผูก และระบบขับถ่าย
• ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับอาการปวดท้องเนื่องจากโรคกระเพาะ มีลมในกระเพาะ สภาวะกรดไหลย้อน
• ผู้ที่มีปัญหามีกลิ่นตัว กลิ่นเท้า
• ผู้ที่มีอาการชาบวม และมีปัญหาเรื่องเส้นเลือดขอด
• อาการแผลอักเสบ แผลเปื่อย แผลเรื้อรัง แผลถลอก เหงือกอักเสบ และแผลในปาก
• โรคประจำตัวปวดศีรษะเป็นประจำ และปวดศีรษะจากไมเกรน
• มีปัญหาการหลุดร่วงของเส้นผม
• มีปัญหาเกี่ยวกับอาการโรคภูมิแพ้ ไซนัส หรือโรคเรื้อรัง แผลเรื้อรัง แผลเน่าอักเสบ แพ้สารพิษ หรือแพ้สารเคมีอย่างรุนแรง
• มีปัญหาเกี่ยวกับการเสื่อมของระบบเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว
• ปัญหาเกี่ยวกับสิวฝ้า ปวดประจำเดือน ประจำเดือนมาไม่ปกติ ประจำเดือนมามาก
• โรคกระดูกผุ กระดูกเสื่อม เนื่องจากความไม่สมดุลของแคลเซี่ยม โรคข้อ เก๊าต์ รูมาตอยด์ ปวดข้อตึง เหยียดขาไม่ได้ อาการปวดหลังเนื่องจากหมอนรองกระดูกเสื่อม
• ผู้ที่เป็นโรคตา ต้อกระจก ต้อลม น้ำตาไหล ตาฟาง ปวดตา ตาอักเสบ มีปัญหาเรื่องการมองเห็น
• ผู้ป่วยระยะพักฟื้น
• คนสูงอายุที่เหนื่อยง่าย แขนขาไม่มีแรง มึนงง เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ หูอื้อ ลุกนั่งเวียนหัว หน้ามืด อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ลมหายใจหนัก
[กลับด้านบน]
คลอโรฟิลล์ บริสุทธิ์ 100 % จากบ้านสมุนไพร มีสารสเตียรอยด์ (Steroid) เจือปนหรือไม่ …? ไม่มีสารพิษใดๆ รวมทั้งสารสเตียรอยด์ (Steroid) เจือปนเนื่องจาก องค์การอาหารและยาสหรัฐ ให้การรับรองการผลิต (ตามเอกสารแนบ) รวมถึงในประเทศไทยเอง ได้ส่งให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตรวจสอบและออกหนังสือรับรอง (ตามเอกสารแนบ) ว่าไม่มีสารที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ได้แก่ Dexamethasone, Prednisolone , Prednisolone Acetate, Methyl Prednisolone , Hydrocortisone, Triacinolone , Fluocinonide และ Corticosteroids และได้รับ อย จากกระทรวงสาธารณสุขเรียบร้อย หมายเลข อย 21-4-00449-1-0001
[กลับด้านบน]
การดื่มคลอโรฟิลล์ บริสุทธิ์ 100 % เป็นระยะเวลานาน ติดต่อกันประจำเป็นเวลานาน มีโทษ ต่อร่างกายหรือไม่…? จากการทดสอบ ส่งตัวอย่างไปตรวจยัง กรมวิทยาศาสตร์ การแพทย์ พบว่าไม่มีสารอันตราย รวมทั้งสารสเตียรอยร์ (Steroid) ตกค้างซึ่งก่อให้เกิดโทษต่อผู้บริโภคแต่ประการใด และการที่ผู้ใช้ ใช้บริโภคเป็นเวลานานไม่มีรายงานผลก่อให้เกิดโรคข้างเคียงหรืออันตรายใดๆ ต่อร่างกาย ตรงกันข้ามกลับให้คุณประโยชน์ต่อระบบอวัยวะภายในของร่างกายเพราะจะเข้าไปฟื้นฟูสุขภาพให้ดีขึ้น แต่หากถ้าใช้มากเกินไปจะทำให้เกิดการสิ้นเปลืองโดยเสียประโยชน์เปล่าเนื่องจากคลอโรฟิลล์ บริสุทธิ์ 100 % ขั้นตอนการผลิตมีราคาแพงมาก ถ้าเทียบราคากับคลอโรฟิลล์ชนิดอื่นๆ และถ้าบริโภคมากจนเกิดความต้องการของร่างกาย คลอโรฟิลล์จะถูกขับออกจากระบบไหลเวียนของเลือดทางระบบทางเดินปัสสาวะ
[กลับด้านบน]
คลอโรฟิลล์ ช่วยทำให้ผิวพรรณดีขึ้น จริงหรือไม่ …หรือเป็นแค่การกล่าวอ้าง ...? เมื่อเลือดในร่างกายดีขึ้นก็จะส่งผลต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย จึงทำให้ผิวพรรณดีขึ้น ดังนั้นในปัจจุบันเรามักจะเห็นดาราชอบดื่มคลอโรฟิลล์ หรือน้ำสีเขียวกันเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากทุกคนต้องการเก็บรักษาผิวพรรณเยาว์วัยของตนไว้ ผิวพรรณสดใสทำให้จิตใจสดชื่นอีกด้วย ผิวหนังเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่มองเห็นมากที่สุด ผิวหนังสดใสมีน้ำมีนวลทำให้ดูอ่อนกว่าวัยอยู่เสมอ สตรีเป็นจำนวนมากหันมาใช้เครื่องสำอางนานาชนิดเมื่อผิวหนังเริ่มเสื่อมสภาพลงเครื่องสำอางไม่ได้ทำให้ผิวพรรณสดใสอ่อนวัยได้และ เครื่องสำอางทำให้ผิวพรรณมีสีสันผิดแผกจากธรรมชาติ เมื่ออวัยวะภายในร่างกายทำงานไม่เป็นปกติ ผิวหนังจะไม่เปล่งปลั่ง โดยเฉพาะเมื่อโลหิตและผิวหนังมีความเป็นกรด จะทำให้ผิวหนังแห้งเป็นขุยไม่สดใสเพราะระบบอวัยวะภายในไม่เป็นปกติหรือมีความเป็นกรด การบริโภคคลอโรฟิลล์เป็นประจำทำให้ผิวหนังกลับมาสดใสได้อีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้เพราะคลอโรฟิลล์ จะช่วยจะช่วยปรับระบบการทำงานของอวัยวะภายใน และแก้ปัญหาความเป็นกรด คลอโรฟิลล์มีประสิทธิภาพยิ่ง ในการทะนุบำรุงผิวหนังให้แลดูอ่อนวัยมีน้ำมีนวล โดยความจริงแล้วคลอโรฟิลล์ให้ผลดีในการรักษาโรคผิวหนัง ส่งเสริมการทำงานของระบบอวัยวะในร่างกายทั้งหมด จึงทำให้ผิวหนังเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลสดใส รายการโทรทัศน์ช่อง ITV ตอบข้อสงสัยการดื่มคลอโรฟิลล์ให้ประโยชน์จริงหรือ ?
คลอโรฟิลล์ในอัลฟัลฟ่า กับการช่วยทำความสะอาดผิวจากภายใน คลอโรฟิลล์มีสารต่างๆ วิตามิน แร่ธาตุที่มีอยู่ในอัลฟัลฟ่า ด้วยปริมาณที่เหมาะสม จะทำหน้าที่ขจัดของเสีย สารพิษออกจากเลือดและอวัยวะภายใน (Blood and Bowel Cleanser) ลดการตกค้างของเสียตามผิวหนังทำให้เลือดสะอาดและไหลเวียนได้ดีขึ้น เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่รับประทานมากและชอบรับประทานเนื้อสัตว์ เมื่อเลือดดีขึ้นก็ทำให้ผิวพรรณผ่องใสมีสุขภาพที่ดีตามมา นอกจากนี้ในอัลฟัลฟ่า ยังมีสาร ไฟโต-เอสโตรเจน ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งพบว่าในคนที่มีสิวง่ายเมื่อรับประทานอัลฟัลฟ่า ปริมาณการเกิดสิวจะลดลง ผิวจะดูสะอาดขึ้น จึงเป้นที่มาของ สวยทั้งภายนอกและภายใน
[กลับด้านบน]
ถ้าเราทานพืชผักจำนวนมาก สามารถทดแทน คลอโรฟิลล์ได้หรือไม่ ...? คลอโรฟิลล์ คือสารประกอบที่ทำให้พืชมีสีเขียวและทำหน้าที่หลัก คือ สังเคราะห์แสง (photosynthesis) โดยการเปลี่ยนพลังงานจากแสงอาทิตย์ และให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมถึงแร่ธาตุต่างๆ จากดินให้กลายเป็นสารอาหารที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์และสัตว์ ในร่างกายของคน จึงมีการค้นคว้ากี่ยวกับการทำงานหรือปฏิกิริยาคลอโรฟิลล์ต่อคน พบว่าคลอโรฟิลล์ ทิ่อยู่ในเซลล์ของพืชทั่วไป จะถูกปกป้องและปิดกั้นด้วยผนังเหยื่อหุ้มเซลล์อีกชั้นหนึ่ง ทำให้ระบบการย่อยอาหารปกติของร่างกายเราไม่สามารถบดย่อย เพื่อให้ได้สารคลอโรฟิลล์เพียงพอกับความต้องการของร่างกายเราได้ ถึงแม้ว่าเราจะบริโภคผักใบเขียวเป็นจำนวนมากในแต่ละวันก็ตาม เราจะได้รับคลอโรฟิลล์และสารอาหารจากพืชผักเหล่านั้นเพียง 5 % เท่านั้น ถ้าเราต้องการสารอาหารที่เพียงต่อร่างกายเพื่อต่อสู้กับโรคภัย เราต้องบริโภคพืชผักสดไร้สารพิษ ประมาณ 2 กิโลกรัมต่อวัน ก็หมายความว่าถ้าเราปฎิบัติได้จนเป็นชีวิตประจำวันก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้สารสกัดคลอโรฟิลล์ บริสุทธิ์เพิ่มเติมอีก ซึ่งความเป็นจริงเป็นไปได้ยากในยุคปัจจุบันเนื่องจากเราไม่ได้ถูกฝึกให้บริโภคพืชผักปริมาณมากขนาด 2 กิโลกรัมต่อวันมาแต่เด็ก จึงทำให้ยากที่จะทำใจยอมรับการบริโภคในลักษณะนี้ได้ อีกทั้งคลอโรฟิลล์ โดยตัวของมันละลายน้ำไม่ได้ จะละลายได้ในไขมันหรือแอลกอฮอล์ บางชนิดเท่านั้น แต่ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบันรวมกับความชาญฉลาดของนักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถสกัดคลอโรฟิลล์ออกมาได้ด้วย วิธี ฟรีซดราย (Freeze Dry) ด้วยกระบวนการ 15 ขั้นตอน เราสามารถสกัดคลอโรฟิลล์ ออกมาได้อย่างบริสุทธิ์ 100 % โดยปราศจากการสูญเสียคุณค่าทางอาหารตามธรรมชาติ ร่างกายจึงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันทีอย่างเต็มที่ และเป็นคลอโรฟิลล์ชนิดละลายน้ำได้ (water soluble chlorophyll)
[กลับด้านบน]
ถ้าจะดื่มควรปฏิบัติอย่างไร ...? แต่ละโรคจะมีลักษณะการใช้ฟื้นฟูที่แตกต่างกัน ควรจะได้รับการแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ และใช้ในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเท่านั้น แต่จะกล่าวถึงการติดตามผลได้ปรากฎจากผู้ที่เคยเจ็บป่วยและได้ดื่มคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % จากบ้านสมุนไพร แล้ว สามารถฟื้นฟูสุขภาพให้กลับมาแข็งแรงจนเป็นปกติ โดยปกติแล้ว : การดื่มโดยทั่วไป ใช้คลอโรฟิลล์ บริสุทธ์ 100 % แบบละลายน้ำได้( water soluble chlororhyll) ปริมาณ 10 ซีซี ผสมน้ำสะอาด 1.5 ลิตร และใช้ดื่มแทนน้ำในแต่วัน ถ้าต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถอ่านได้ในหน้า การฟื้นฟูบำบัดโรคต่างๆ
[กลับด้านบน]
การใช้คลอโรฟิลล์ บริสุทธิ์ 100 % เพื่อเป็นยารักษาโรคได้หรือไม่ …? คลอโรฟิลล์ ที่ทางบ้านสมุนไพรนำเข้ามา อยู่ในรูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร จึงไม่สามารถตอบได้ว่าเป็นยารักษาโรค เนื่องจากถ้านำเข้ามาเพื่อเป็นยารักษาโรคจะมีราคาค่อนข้างแพงมากทำให้คนทั่วไปไม่สามารถใช้บริโภคได้ เพราะจุดประสงค์ การใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % ก็เพื่อทดแทนการบริโภคสารอาหารจากพืชผัก เนื่องจากปัจจุบันคนไทยรับประทานพืชผักไม่เพียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย รวมทั้งการสั่งสมสารเคมีประเภทต่างๆ ไว้เป็นจำนวนมาก สารสกัดจากต้นอัลฟัลฟ่าในรูปของคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % จึงถูกนำมาใช้ทดแทนการขาดการบริโภคสารอาหารที่มีคุณค่าดังกล่าว การใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % คือ สารบริสุทธิ์แบบมีชีวิตจากธรรมชาติจึงเป็นทางเลือกเพื่อทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างพอเหมาะอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย ในปัจจุบันยังไม่มี่ตัวยาใดๆ ที่สามารถเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ การใช้โภชนาการจึงเป็นหนทางที่ถูกเลือกดังนั้นการใช้สารอาหารจากธรรมชาติเพื่อเป็นยาจึงถูกนำมาใช้ ซึ่งตรงกับหลักปรัชญาของ ศาสตราจารย์ เอห์เรต ที่ว่า “ธรรมชาติอย่างเดียวเท่านั้น ที่เป็นผู้เยียวยารักษาโรคได้” • จงใช้อาหารเป็นยา อย่าใช้ยาเป็นอาหาร
[กลับด้านบน]
ประโยชน์ของคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % มีผลดีต่อร่างกายอย่างไร…?
• ทำให้สดชื่น หายเหนื่อยจากการอ่อนเพลีย
• เพิ่มประสิทธิภาพเม็ดเลือดแดงและเซลล์เม็ดเลือดแดง ทำให้ระบบเลือดไหลเวียนดี
• แก้ปัญหาเรื่องสิว ฝ้า ปวดประจำเดือน และประจำเดือนมาไม่ปกติ
• ลดความดันโลหิต ลดปัญหาเส้นเลือดหัวใจตีบ
• ปรับระดับน้ำตาลสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน
• ทำให้อาการโรคภูมิแพ้ แพ้อากาศ ผื่นลมพิษ ทุเลาลง
• ขับกรดจากข้อต่างๆ ทำให้อาการปวดข้อ ปวดเมื่อยตามตัวทุเลา
• ขับสารพิษออกจากร่างกาย เช่น สารตกค้างของยาปฎิชีวนะ สารเคมีตกค้างในอาหาร
• ป้องกันการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
• แก้ปัญหาท้องผูก การขับถ่ายจะดีขึ้น ริดสีดวงทวารทุเลาและหายได้
• ช่วยดับกลิ่นตัว กลิ่นปาก และ กลิ่นเท้า
• บรรเทาอาการชา บวม และเส้นเลือดขอดให้ทุเลาได้
• ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ใช้รักษาแผลอักเสบ แผลเปื่อย แผลเรื้อรัง แผลถลอก เหงือกอักเสบ แผลในปาก
• บรรเทาอาการปวดศีรษะทั่วไป และปวดศีรษะไมเกรนได้
• ช่วยให้ผู้ที่เป็นต้อกระจกมองเห็นดีขึ้น
• มีสารอาหารที่บำรุงเส้นผม ทำให้ผมหงอกดำขึ้น ช่วยลดอาการผมร่วง
สำหรับคนที่เป็นโรคเบาหวานจะช่วยเรื่องระดับน้ำตาลในเลือด และช่วยให้แผลแห้งเร็วขึ้น ดีขึ้น สามารถ อ่านเพิ่มเติมได้ในหน้าการฟื้นฟูบำบัด
[กลับด้านบน]
ประโยชน์ของการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภท เอสโตรเจน เพื่อ :…?
1. ช่วยบำรุงโลหิตสำหรับการเสียเลือดระหว่างเดือน และบำรุงมดลูก กระตุ้นมดลูกให้ทำงานเป็นปกติ ปรับระดับฮอร์โมนในร่างกายให้อยู่ในภาวะสมดุล อีกครั้ง ช่วยทำให้ผู้ที่เคยมีปัญหาเรื่องผิวพรรณ แห้ง หยาบกร้าน เนื่องจากปัญหาขาดฮอร์โมนในวัยทอง ให้กลับมามีผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใส คงความเป็นหนุ่มสาว อีกครั้ง
2. ปรับการทำงานของระบบมดลูกให้คืนสู่สภาพปกติ ขับของเสียที่คั่งค้างภายในมดลูก ช่วยบรรเทาและรักษาอาการปวดท้องรุนแรงระหว่างมีประจำเดือนได้เป็นอย่างดี
โดยปกติแล้วประจำเดือนจะถูกขับออกมาทุกเดือน แต่ไม่หมดถึง 100% จะตกค้างบริเวณผนังมดลูก
เมื่อสะสมหนักหมักหมมอยู่นานมดลูก จะบีบตัวมากจนอักเสบ เกิดอาการปวดท้อง ถึงแม้ทานยาแก้ปวดอาจบรรเทาอาการปวดได้ แต่สภาวะตกค้างยังคงอยู่ เมื่อทานผลติภัณฑ์เสริมอาหารที่มีการคิดค้นสูตรขึ้นเพื่อปรับฮอร์โมนและระบบการไหลเวียนของเลือดโดยเฉพาะ จะช่วยชำระเลือดที่ตกค้างบริเวณผนังมดลูก ทำให้ระบบต่างๆ ภายในกลับคืนสู่สภาวะปกติอีกครั้ง และเมื่อระดับฮอร์โมนถูกปรับสมดุล อาการปวดท้องดังกล่าว จะค่อยๆ ทุเลาจนหายขาด
3. เมื่อระบบเลือดลมภายในดี ลิ่มเลือดของเสียถูกขับออก จึงทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล สิวฝ้าบนใบหน้าจะค่อยๆ จางหายไป
และเมื่อรับประทานต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จะมีสุขภาพแข็งแรงจนรู้สึกได้ชัด ทำให้ช่องคลอดกระชับ มดลูกเข้าอู่ เพิ่มขนาดทรวงอก และทำให้หน้าอกที่หย่อนกลับมาตึงกระชับขึ้น คุณประโยชน์ดังกล่าวจะปรากฎหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ประมาณ 1 สัปดาห์ ถึง 1 เดือน แล้วแต่สภาพร่างกายของแต่ละคน
ความเครียด ภาระการงาน และการใช้ชีวิตที่ผิดรูปแบบไปจากเดิม พรากเอาความสดใสและความหนุ่มสาวไปจากมนุษย์เร็วขึ้น
การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารพวกสารโปรตีนสกัดจากถั่วเหลือง , สารสกัดจากทับทิม ,สารสกัดจากเมล็ดองุ่น , คอลลาเจน , และแอส คอร์บิค แอซิด ซึ่งเหล่านี้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของสารไฟโตรเอสโตรเจนจากธรรมชาติจะช่วย กระตุ้นการทำงานของต่อมไร้ท่อที่ผลิตฮอร์โมน ซึ่งฮอร์โมนนี้จะกลายเป็นสารสำคัญที่ช่วยให้อวัยวะต่างๆ มีความแข็งแรงร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่ารู้สึกถึงความเป็นหนุ่มสาว
เหมาะสำหรับผู้ที่เอาใจใส่ในสุขภาพของตนเอง และต้องการต่อต้านความเสื่อมของวัย ดูแลตนเองให้คงความเป็นหนุ่มสาวอยู่เสมอ เพื่อให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล ผิวขาวกระจ่างสดใส สิว ฝ้า จางหาย ลดการอักเสบ กระชับมดลูก กล้ามเนื้อกระชับ และร่างกายแข็งแรง
[กลับด้านบน]
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภท เอสโตรเจน (ผลิตภัณฑ์ Angel) มีส่วนผสมของอะไร บ้าง…?
มีส่วนผสมของสมุนไพรที่มีประโยชน์ หลากหลายชนิด เช่น
โปรตีนสกัดจากถั่วเหลือง (Isolated soy protein) มี :
สูตรโครงสร้างคล้ายเอสโตรเจนอย่างสม่ำเสมอ ช่วยลดอาการร้อนวูบวาบที่เกิดจากภาวะหมดประจำเดือน , ป้องกันมะเร็งเต้านม , ลดระดับไขมันในเลือด เพิ่มความหนาแน่นของมวลมดลูก
สารสกัดจากทับทิม (Pomegranate Extract) :
มีประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุด ช่วยฟื้นฟูจากโรคเบาหวาน ป้องกันโรคขี้หลงขี้ลืมในผู้สูงอายุ ลดการแข็งของหลอดเลือดแดง ลดภาวะการเกิดโฟมเซล ซึ่งเป็นขึ้นตอนของโรคหัวใจ , บำรุงหัวใจและตับ และมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกัน
มะเร็งต่อมลูกหมาก (Prostate Cancer)
คอลลาเจน (Collagen) :
ช่วยเสริมความเรียบตึงให้แก่ผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณเรียบเนียน ฟื้นฟูสุขภาพผิวยับยั้งการเกิดรอยเหี่ยวย่น และเติมร่องลึก ช่วยให้กระ ฝ้า จางลง คืนความอ่อนเยาว์ในเวลาอันรวดเร็ว นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงสุขภาพผม , เล็บ , สายตา และป้องกันความผิดปกติของเส้นประสาท
สารสกัดจากเมล็ดองุ่น (Grape Seed Extract : มี “OPC” ( Oligomeric Proanthocyanidin) สูง :
ซึ่งมีฤทธิ์ต่อต้านสารอนุมูลอิสระได้ดีกว่าวิตามิน C และมากกว่าวิตามิน E จึงช่วยชลอความเสื่อมของผิว ทำให้ผิวกระชับชุ่มชื่น ขาวใสขึ้น ช่วยป้องกันความผิดปกติของหลอดเลือด เส้นเลือดขอด และเส้นเลือดฝอยเปราะ
แอสคอร์บิค แอซิด (Ascorbic acid) :
ช่วยเพิ่มการดูดซึมของธาตุเหล็ก ช่วยในกระบวนการเผาผลาญสารอาหารไขมัน ลดการอักเสบของสิว ช่วยสมานผิว ลบรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวให้หายเร็วขึ้น
[กลับด้านบน]
คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ของบ้านสมุนไพร ผลิตจากที่ไหน …?
ผลิตจากบริษัท ดี ซูซ่า อินเตอร์เนชั่นแนล อินคอร์ปอเรชั่น รัฐแคลิฟอเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา (DESOUZA INTERNATIONAL, INC. CALIFORNIA, U.S.A.) ซึ่งเป็นที่ยอมรับทั่วโลกว่า สามารถผลิตคลอโรฟิลล์ จากอัลฟัลฟ่า ได้บริสุทธิ์ 100 % ดังคำที่ว่า “บริสุทธิ์คงคุณภาพ สม่ำเสมอทุกหยด”
[กลับด้านบน]
การแพทย์แผนปัจจุบัน ยอมรับคลอโรฟิลล์ บริสุทธิ์ 100 % หรือไม่ …?
การแพทย์ทั่วโลก และองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (FDA) ยอมรับคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ ที่ 95 % ซึ่งเป็นคลอโรฟิลล์ ที่สามารถใช้ในทางการแพทย์ได้ ท่านสามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ในหน้า คลอโรฟิลล์ที่ทางการแพทย์ยอมรับ เนื่องจากอาหารการกิน สภาวะแวดล้อม อากาศและน้ำในปัจจุบันนี้มีสารพิษเจือปนอยู่มาก ทำให้คนในปัจจุบันมีสภาพร่างกายเสื่อมโทรมและเจ็บป่วยง่าย ทางผู้จัดจำหน่ายเห็นว่า คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % มีคุณภาพสามารถช่วยฟื้นฟูสุขภาพให้แข็งแรงขึ้นได้ และทางการแพทย์ทั่วโลกให้การยอมรับ ทางบ้านสมุนไพรจึงนำมาเผยแพร่ผ่านสื่อเพื่อเสนอเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่ง
คลอโรฟิลล์ที่ทางการแพทย์ยอมรับคือ คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ ต้องมีสารคลอโรฟิลล์อย่างน้อย 95 % นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดลองจนในที่สุดพบว่า มันคือ คลอโรฟิลล์ชนิดที่ละลายในน้ำ (Water Soluble Chlorophyll) ซึ่งคลอโรฟิลล์ โดยตัวของมันเอง.... ไม่ละลายในน้ำ
ด้วยกระบวนการเทคนิคพิเศษอย่างน้อย 15 ขั้นตอนนี้ สามารถทำให้คลอโรฟิลล์ ละลายในน้ำได้ ทางการแพทย์ได้ทำการวิจัยคลอโรฟิลล์ชนิดที่ละลายในน้ำกันอย่างกว้างขวางและมากมายเป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์ (Medicinal Use) โดยเฉพาะกลุ่มนักวิจัยส่วนใหญ่ของมหาวิทยาลัยเทมเปิล ประเทศสหรัฐอเมริกา นำทีมโดย นายแพทย์ลอเรนซ์ สมิท ซึ่งเป็นศาสตราจารย์นายแพทย์สาขาพยาธิวิทยา ได้รวบรวมข้อมูลสำคัญของคลอโรฟิลล์ ชนิดละลายในน้ำ ดังนี้ :
1.เป็นสารบริสุทธิ์ควรเลือกใช้ทางคลินิก (Water soluble derivatives are purified and much preferable in clinical use )
2. ผลของการใช้นุ่มนวลและไม่มีอาการระคายเคือง (Bland and non-irritating)
3. จากการทดลองในมนุษย์และสัตว์ในวิธีการแพทย์ รวมทั้งการฉีดเข้าใต้ผิวหนังและฉีดเข้าเส้นเลือดดำ ไม่ปรากฎอาการของพิษใดๆ (Total absence of toxic effects)
คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ทางการแพทย์ ได้วิจัยสรุปผลดังนี้
ดร. เรดพาธและคณะฯ รายงานผลที่น่าพอใจในการใช้คลอโรฟิลล์ รักษาผู้ป่วยจากโรคทางเดินหายใจ 1,000 ราย
มหาวิทยาลัยโลโยล่า ประเทศสหรัฐอเมริกา กลุ่มทันตแพทย์รักษาผู้ป่วยกว่า 1,700 ราย พบว่าคลอโรฟิลล์ สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในช่องปากได้
ดร. เคปฮาร์ รายงานผลการใช้คลอโรฟิลล์ รักษาผู้ป่วยเป็นโรคโลหิตจาง พบว่าได้ผลดีในผู้ป่วยที่ไม่ขาดธาตุเหล็กและธาตุทองแดง
ทันตแพทย์โกลด์เบิร์ก ใช้คลอโรฟิลล์ รักษาผู้ปวย 300 ราย ที่เหงือกเป็นหนองเลือดออกตามไรฟันและฟันโยก ปรากฎว่าได้ผลดีมาก
ในโรงพยาบาลทหาร ดร. โบเวอร์ส ใช้คลอโรฟิลล์ ทาแผล ปรากฎว่ากลิ่นเหม็นเน่าของแผลลดลง และอาการอักเสบดีขึ้นจนกระทั่งหายไป
ดร. มอร์แดน ใช้ขี้ผึ้งคลอโรฟิลล์ รักษาแผลไฟไหม้ได้ผลดี
ดร. ฟอลล็อค ได้เปรียบเทียบในการรักษาแผลกดทับ (Bedsore) ด้วยยาหลายชนิดพบว่าคลอโรฟิลล์ ได้ผลดีที่สุด
ดร. เบอร์กี้ รายงานว่าคลอโรฟิลล์ ช่วยรักษาโรคโลหิตจางได้หลายชนิด ทำให้หัวใจทำงานมีประสิทธิภาพดีขึ้น ช่วยลดความดันสูง และกระตุ้นทางเดินอาหารให้ทำงานดีขึ้น
ดร. แครนซ์ วิจัยพบว่าคลอโรฟิลล์ บรรเทาอาการของโรคกระเพาะอาหารอักเสบได้ดี และจากรายงานของ ดร. ซามูแอล ในคนไข้ที่เลือดออกในกระเพาะอาหาร 36 ราย ปรากฎว่าทุกรายมีอาการดีขึ้นและหายภายใน 12-22 วัน
ค.ศ. 1980 มีรายงานในผู้ป่วยด้วยโรคตับอักเสบเรื้อรังจำนวน 34 ราย โดยการฉีดคลอโรฟิลล์ เข้าเส้นเลือดปรากฎว่าได้ผลดี 23 ราย
ดร. โยชิดาและคณะ ฯ พบว่าคลอโรฟิลล์ บรรเทาอาการของโรคตับอ่อนอักเสบ และมีรายงานวิจัยอีกหลายคณะในประเทศญี่ปุ่น ในการใช้คลอโรฟิลล์ รักษาโรคตับอ่อนอักเสบ
ดร. เบอร์กี้ พิมพ์หนังสือชื่อ “Chlorophyll as pharmaceutical” กล่าวถึง การใช้คลอโรฟิลล์ ได้ผลดีในผู้ป่วย 112 ราย ที่ป่วยด้วยโรคความดันสูง และหลอดเลือดแข็งตัว
ดร. แอนเจโล ศึกษาในคนไข้ 50 ราย ที่ป่วยด้วยโรคความดันสูง พบว่าคลอโรฟิลล์ ช่วยลดความดันได้ดี และอาการทั่วไปดีขึ้น
มีรายงานการวิจัยอีกมากมายที่ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ ในการรักษาโรคลำไส้อักเสบและอื่นๆ
จากการทำวิจัยขององค์การอาหารและยาสหรัฐ กับผู้ป่วยแผลเปิดจำนวน 3,600 ราย พบว่าคลอโรฟิลล์ช่วยกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ใหม่ให้เร็วขึ้น ทำให้แผลหายเร็วกว่าปกติ 25 %ขึ้นไป และรอยแผลเป็นลดลงกว่า 50 % หรือมากกว่า จากกรณีนี้จึงมีการวิจัยต่อเกี่ยวกับการรักษาอาการเจ็บป่วยภายในร่างกายอันเป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ขึ้น พบว่าผู้ป่วยทั้ง 1227 ราย กลิ่นภายในหายหมดหลังจากใช้คลอโรฟิลล์ผ่านไป 2 สัปดาห์ จึงให้การยอมรับว่าเป็นยาดับกลิ่นภายใน สามารถซื้อขายได้ตามร้านขายยาทั่วไป ตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม 1990 ตามเอกสารทะเบียนยาที่ 21 CFR Part 357 Deodorant Drug Products for Internal Use for Over-the Counter Human Use : Final Monograph; Final Rule.
ตลอดจนการใช้คลอโรฟิลล์ รักษาสุนัขที่ป่วยโรคผิวหนัง และกลิ่นตัวแรง นับเป็นจำนวนกว่าหมื่นตัว
ในอดีตทางการแพทย์ได้ใช้คลอโรฟิลล์ ชนิดที่ละลายในน้ำ (Water Soluble Chlorophyll ) รักษาผู้ป่วย แต่การใช้ไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก เพราะต้นทุนการผลิตยังมีราคาแพงมาก แต่ในปัจจุบันคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ มีราคาถูกลง และใช้กันทั่วไปในกลุ่มแพทย์ธรรมชาติบำบัด
[กลับด้านบน]
ทำไมคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % ของ บ้านสมุนไพร จึงไม่วางขายตามท้องตลาด…?
การวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % (Pure Chlorophyll) ถ้าวางขายตามร้านค้าทั่วไป ร้านสะดวกซื้อ และซุปเปอร์มาเก็ตทั่วไป อาจไม่มีผู้ใดกล้าซื้อ เนื่องจากราคาค่อนข้างสูงกว่าคลอโรฟิลล์โดยทั่วไป และคนโดยทั่วไปมักเข้าใจว่าก็คลอโรฟิลล์ เหมือนกัน จะจ่ายแพงกว่าไปทำไม ? แต่ถ้าท่านได้ศึกษาตำราหรือบทความต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ก็จะเข้าใจได้ไม่ยาก ผลิตภัณฑ์คลอโรฟิลล์ มีหลายบริษัทที่นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย ทุกชนิดเรียกว่า คลอโรฟิลล์ แต่มีความแตกต่างกันในเรื่องเปอร์เซ็นต์ความบริสุทธิ์ของผลิตภัณฑ์ ซึ่งบางยี่ห้อ 1 % , 2 % , 10% จนกระทั้ง สูงสุดถึง 100 % เต็ม แต่ถ้าท่านได้ศึกษาเรื่องของ คลอโรฟิลล์ จนเข้าใจเป็นอย่างดี และนำมาใช้ในทางของธรรมชาติบำบัดได้นั้นพบว่า คลอโรฟิลล์ ที่ทั่วโลกยอมรับและใช้ในทางการแพทย์ได้ต้องมีความบริสุทธิ์อยู่ที่ 95 % ขึ้นไปจึงเรียกว่า คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ (Pure Chlorophyll ) จึงเปรียบได้กับ การที่เราจะซื้อน้ำปลาสัก 1 ยี่ห้อ เพื่อจะมาใช้ทำอาหารในชีวิตประจำวัน น้ำปลามีหลากหลายราคาหลายคุณภาพในท้องตลาดจึงมีความแตกต่างกัน น้ำปลาแท้ผลิตจากปลาแท้ๆ จะมีราคาสูงกว่าน้ำปลาที่ผลิตจากกากปลาและน้ำที่เหลือจากการผลิตในขั้นต้น จึงมีข้อแตกต่างในด้านราคาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังคงเรียกผลิตภัณฑ์ ทั้ง 2 ชนิดนี้ว่า น้ำปลา หรือ กรณีน้ำส้มก็เช่นกัน ในท้องตลาดน้ำส้มมีหลายราคา หัวน้ำส้มแท้ 100 % ก็ย่อมมีราคาแพงกว่าน้ำส้มผสม 3 % - 5 % ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้บริโภคว่าต้องการน้ำส้มแบบไหนแต่น้ำส้มจะบริสุทธิ์เท่าใดก็ตามในท้องตลาดก็ยังคงเรียกว่า น้ำส้ม เช่นเดียวกันกับ คลอโรฟิลล์ ไม่ว่าจะมีความบริสุทธิ์เท่าใด ก็ถูกเรียกว่า คลอโรฟิลล์ เช่นเดียวกัน
ดังนั้นการบริโภคคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ จึงจำเป็นต้องมีผู้แนะนำที่ผ่านการอบรมมาคอยให้คำแนะนำเข้าใจในประสิทธิภาพ สรรพคุณ และวิธีการดื่มรวมถึงวิธีการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์เสียก่อน จึงจะให้ความมั่นใจแก่ผู้บริโภคได้
และเนื่องจากการที่จะทำให้เป็นที่รู้จักแก่ผู้คนทั่วไปจึงต้องมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ ซึ่งค่าโฆษณาจะสูงมากหากจัดจำหน่ายผ่านทางระบบการตลาดโดยทั่วไป และเนื่องจากต้องใช้เวลาและการศึกษาเพื่อให้รู้จักคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์แท้ 100 % เป็นอย่างไร ? และช่วยคุณได้อย่างไร ? ต้องใช้เวลานานกว่าผู้บริโภคจะเข้าใจ
จึงเป็นเหตุผลที่ต้องทำการตลาดแบบเครือข่ายผู้บริโภค เนื่องจากต้องการให้มีผู้แนะนำที่ผ่านการอบรมมาบรรยายและมาพบกับผู้ป่วย ทำให้สามารถอธิบายข้อมูลที่มาของผลิตภัณฑ์และแนะนำข้อมูลที่จำเป็นในการปฎิบัติตนเองเพื่อให้รอดพ้นจากความเจ็บป่วย เช่น ท่านต้องเลิกพฤติกรรมอะไร , เลิกกินอะไรบ้าง , วิธีการใช้ผลิตภัณฑ์ใช้อย่างไร , การเก็บรักษาต้องทำอย่างไรบ้าง , ถ้าเกิดอาการกระทุ้งโรคหรือปฏิกิริยาโต้ตอบการบำบัดต้องปฏิบัติตนอย่างไร การแนะนำผลิตภัณฑ์โดยวิทยากรจึงเป็นวิธีที่กระจายข้อมูลข่าวสารถึงมือผู้บริโภคอย่างรวดเร็วและถูกต้อง ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์สามารถสอบถามได้ตลอดเวลา และที่สำคัญผู้บริโภคที่เป็นสมาชิกสามารถซื้อผลิตภัณฑ์ในราคาถูกและสะสมยอดได้ และสามารถมีรายได้ที่เกิดจากการแนะนำผลิตภัณฑ์
[กลับด้านบน]
ราคาแพงเหลือเกิน จะคุ้มมั้ย…? หากผลิตภัณฑ์ไม่ดีจริงคงไม่มีใครกล้าซื้อ และคงขายไม่ได้ แต่ผลิตภัณฑ์คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % และ ผลิตภัณฑ์แองเจิ้ลจากบ้านสมุนไพร สามารถจัดจำหน่ายได้อย่างต่อเนื่องและมียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นทุกปี โดยจำหน่ายทั่วประเทศไทยเพียงแต่ยังมีผู้รู้จักไม่มากนัก ผลิตภัณฑ์ของบ้านสมุนไพรทำให้ผู้ใช้มีสุขภาพที่ดีและมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นและยังสามารถฟื้นฟูอาการเจ็บป่วยต่างๆ
ข้อคิดของการใช้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมใดๆ ก็ตามที่ทุกคนว่าใช่ว่าดีมีคุณภาพ ให้ท่านลองสังเกตจากตัวท่านเองโดยดูว่าผลิตภัณฑ์ชนิดนี้เมื่อท่านใช้อยู่ ถ้าท่านใช้หมดท่านจะซื้อซ้ำอีกหรือไม่ ? ลองตอบคำถามนี้ดู ถ้าท่านซื้อมาแล้ว ลองใช้ด้วยตัวท่านเองแล้ว ท่านคิดว่าท่านไม่คิดจะซื้อต่ออีกเลย ก็หมายความว่าผลิตภัณฑ์นั้นยังไม่ดีเท่าที่ควร แต่ถ้าท่านใช้ผลิตภัณฑ์ตัวใดก็ตามเมื่อผลิตภัณฑ์นั้นหมดลง ท่านคิดว่าต้องซื้อซ้ำอีกแน่นอน และก็ยังมีความคิดต่อว่าจะต้องซื้อ ไปฝากแม่ ซื้อไปฝากพ่อ หรือซื้อไปฝากญาติพี่น้อง รวมทั้งคนที่เรารัก ก็หมายความผลิตภัณฑ์นั้นจะต้องดีและมีคุณภาพ เพราะท่านเองยังคิดว่ามันดี เช่นเดียวกัน คนอื่นๆ อีกหลายๆคน ก็ต้องคิดแบบเดียวกับท่านถ้าผลิตภัณฑ์นั้นมีคุณภาพพอกับเงินที่ท่านได้จ่ายออกไป
แนวความคิดของกลุ่มชมรมบ้านสมุนไพร ได้ตระหนักอยู่เสมอว่า ผลประโยชน์นั้นต้องมาต้องมีรากฐานมาจากความดีและคุณธรรม หากบริษัทคำนึงถึงแต่เรื่องผลประโยชน์ โดยไม่คำนึงถึงคุณธรรม โดยได้ประโยชน์มาจากการเบียดเบียนผู้บริโภค เช่น การหลอกขายสินค้าให้แก่ผู้บริโภคทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นของไม่ดีไม่มีคุณภาพ หากทำแบบนี้ก็จะแพ้ภัยตนเอง ประสบความสำเร็จไม่นานก็จะห่างหายไปจากวงการในที่สุด แต่ในปัจจุบันก็จำหน่ายผลิตภัณฑ์จนเข้าสู่ปีที่ 8 โดยลักษณะการตลาดแบบบอกต่อปากต่อปาก
[กลับด้านบน]
ทำไมดื่มคลอโรฟิลล์ บริสุทธิ์ 100 % ครั้งแรกจึงเกิดอาการป่วยหนักขึ้นกว่าปกติ…? อาการที่เกิดขึ้นเป็นปฎิกิริยาตอบรับของร่างกายเพื่อปรับสภาพกับคลอโรฟิลล์ ที่ดื่มเข้าไป ซึ่งอาจเกิดอาการบางอย่าง หรือหลายอย่างเกิดขึ้นพร้อมกัน ตัวอย่างเช่นเจ็บปวดในส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทุกข์ทรมานมากกว่าเดิม ซึ่งเป็นลักษณะที่เรียกว่า “ปฏิกิริยาตอบโต้การบำบัด (Healing Reaction)” แปลเป็นภาษาไทย ง่ายๆ ก็คือ อาการกระทุ้งโรค ซึ่งถ้าดื่มต่อเนื่องเมื่อผ่านไประยะหนึ่ง อาการเหล่านั้นจะค่อยๆ หายไป แล้วสุขภาพจะเริ่มดีขึ้นและแข็งแรงขึ้น สำหรับอาการของปฏิกิริยาตอบโต้การบำบัดสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จาก หน้า การฟื้นฟูบำบัดโดยใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์
[กลับด้านบน]
ผลิตภัณฑ์คลอโรฟิลล์ควรดื่มกี่ ขวด ถึงจะได้ผล…? ข้อนี้ไม่สามารถยืนยันได้ ทั้งนี้ขึ้นกับสภาพร่างกาย อายุ ระยะเวลาของโรคซึ่งเป็นหนักเบาแตกต่างกัน รวมถึงการดูแลรักษาสุขภาพ การออกกำลังกายการกินการอยู่ การดื่มเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอร์ การสูบบุหรี่ ความเครียด การนอนหลับผักผ่อนที่เพียงพอ การสะสมของสารพิษในร่างกาย ที่กล่าวมาทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัยที่มีผลวัดว่าเมื่อไหร่ร่างกายจะดีขึ้น แต่ความเปลี่ยนแปลงของร่างกายในทางที่ดีขึ้นและความสดชื่นท่าน จะสังเกตได้ใน 1-2 ขวดแรก การใช้สารอาหารสกัดจากพืชเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารเพื่อเอาชนะโรคร้าย และสร้างภูมิคุ้มกันแก่ร่างกายนั้น จัดอยู่ในกลุ่มของแพทย์ทางเลือก (alternative medicine) ดังนั้นหลักเกณฑ์ต่างๆ ในธรรมชาติบำบัด หรือแพทย์ทางเลือกก็ยังคงต้องแตกต่างกันพอสมควร ข้อมูลปริมาณการใช้เป็นเพียงแค่แนวทางเท่านั้น ไม่ใช่ว่าจะใช้กับทุกคนได้ 100 % ทั้งหมด เพราะ ทุกคนไม่มีอะไรที่เหมือนกัน เพียงแต่แค่คล้ายๆ กันเท่านั้น ดังนั้นการฟื้นฟูจึงต้องคอยสังเกตความเปลี่ยนแปลงว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง และค่อยๆ ปรับไปเรื่อยๆ ผู้ที่ป่วยมักมีคำถามว่า “ ดื่มแล้วไม่เห็นมีอะไร เลย “ หรือ “ ดื่มแล้วไม่เห็นหายป่วยเลย ทั้งๆ ที่คุณป่วยสะสมมามากกว่า 10 ปี แต่เพิ่งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ได้ 3 -5 วัน“ จึงเป็นคำถามที่ตอบยาก รวมกับปัจจัยที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จึงต้องถามต่อไปว่า “ก่อนที่คุณจะเริ่มซ่อมแซมสุขภาพที่ชำรุดอยู่ คุณได้เลิกพฤติกรรมทำลายสุขภาพหรือยัง ? “ คุณต้องเลิกกินหรือเลิกทำอะไรบ้าง ที่มีผลทำลายสุขภาพของคุณ ? บุคคลที่ศึกษาและทำงานด้านธรรมชาติบำบัด จะรับรองหรือประกันอะไรมากไม่ได้ เพราะมีหน้าที่เป็นแค่โค้ช คอยแนะนำให้ใช้ให้เลิก เนื่องจากผู้ที่ป่วยจะหายหรือไม่หายนั้นขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของผู้ที่ป่วยเอง ดังนั้นความสำเร็จจึงอยู่ที่ผู้ป่วยและญาติเกือบทั้งสิ้น
[กลับด้านบน]
ควรดื่มตลอดไปหรือไม่ …?
เมื่อร่างกายแข็งแรงดีแล้วก็สามารถหยุดดื่มได้ แต่ท่านต้องไม่ได้รับสารพิษกลับเข้ามาในร่างกายเพื่อทำลายระบบสมดุลของร่างกายอีก ให้หลีกเลี่ยงสารเคมีตกค้างในอาหารรวมถึงอ๊อกซิเจนในอากาศเสียที่มีแต่มลพิษ ตัวอย่างเช่นควรหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่ผลิตจากสารเคมี ดังต่อไปนี้
• เนื้อวัวที่เกิดจากการเลี้ยงโดยใช้ สารดีอีเอส (DES) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง
• เนื้อหมูที่เกิดจากการเลี้ยงโดยใช้ เลนดอน ซัลบูทามอล
• เนื้อไก่ที่เกิดจากการเลี้ยงโดยใช้ฮอร์โมนฝังในหัวไก่
• ไม่ควรบริโภคเนื้อสัตว์ที่ใส่สารฟอร์มาลีน
• ไม่บริโภคผักที่ปลูกโดยใช้ยาฆ่าแมลง ถ้าจำเป็นต้องบริโภคก็ต้องครบกำหนดที่จะเก็บผลผลิตได้ แต่ส่วนมากเกษตรกรมักจะเก็บเกี่ยวก่อนจำหน่ายเป็นประจำ ซึ่งอันตรายต่อผู้บริโภคเท่ากับเป็นการทำร้ายผู้บริโภคโดยไม่รู้ตัว
• งดการใช้ผงชูรสในการปรุงอาหาร
• งดการดื่มน้ำอัดลม น้ำตาลทรายขาวที่ผสมผงฟอกขาว ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็น
• ถ้าท่านยังไม่งดการบริโภคดังที่กล่าวมาข้างต้น ท่านก็จะกลับไปเจ็บป่วยเนื่องจากการทรุดโทรมของร่างกายอีกครั้ง
• ในวงการแพทย์ยังไม่มียาที่ช่วยให้ภูมิคุ้มกันหรือภูมิต้านทานของคุณแข็งแรง นอกจากการได้รับสารอาหารจากโภชนาการ ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งที่ทำให้ระบบการทำงานของภูมิคุ้มกันดีขึ้น ถ้าระบบภูมิคุ้มกันไม่ดี เราจะมีโอกาสป่วยง่ายขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันไม่ได้ทำหน้าที่ป้องกันโรคหวัด หรือ รักษาบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่ป้องกันและควบคุมโรคภัยไข้เจ็บด้วย เช่น มะเร็ง การที่จะมีอายุยืน และระบบภูมิคุ้มกันด้วยโภชนาการที่ดี จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับทุกคน ความมีอายุยืน และระบบภูมิคุ้มกันมีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น หากต้องการมีอายุยืน จะต้องเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงอยู่เสมอ การมีอายุยืนไม่ใช่อายุยืนยาวแบบกระเสาะ กระแสะ หากแต่ต้องการมีอายุยืนยาวอย่างสุขภาพดี ก็ควรจะศึกษาเรียนรู้ข้อผิดพลาดการดำเนินชีวิตที่ผ่านมา เพื่อปรับวิถีชีวิต แนวคิดอย่างเข้าใจและเต็มใจสู่การมีสุขภาพดีอย่างต่อเนื่องจนถึงวันวาระที่ต้องลาจากโลกนี้ไปอย่างธรรมชาติ ดังนั้นเพื่อไปถึงเป้าหมายสุขภาพที่ดี เราอาจต้องเปลี่ยนแปลงทัศนคติ และความเคยชินบางอย่าง เช่น การดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เที่ยวเตร่ทั้งคืนกลับบ้านยามรุ่งสางเป็นประจำ เพื่อช่วยให้สุขภาพดีขึ้น สรุปง่ายๆ ปัจจุบันนี้ โรคที่คุกคามชีวิตมนุษย์ ทำให้ทนทุกข์ทรมาน ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค แต่เกิดจากการบกพร่อง หรือความเสื่อมของการทำงานโดยเริ่มต้นที่อวัยวะใดอวัยวะหนึ่ง หรือหลายๆ อวัยวะร่วมกัน อันเกิดจากการดำเนินชีวิตที่ผิดๆ การบริโภคอาหารที่ผิดๆ
[กลับด้านบน]
ผลิตภัณฑ์คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % ของบ้านสมุนไพร แตกต่างจากคลอโรฟิลล์ยี่ห้ออื่นที่วางขายตามท้องตลาดอย่างไร ...? ทำไมจึงมีความแตกต่างด้านราคา ค่อนข้างมาก…? คลอโรฟิลล์ของบ้านสมุนไพร เป็นคลอโรฟิลล์ที่นำเข้ามาในรูปของเหลว (Liquid chlorophyll) มีความบริสุทธิ์สูงสุดถึง 100 % แตกต่างจากคลอโรฟิลล์ โดยทั่วไปซึ่งเป็น โซเดียมคอปเปอร์คลอโรฟิลล์ หรือ โซเดียมคอปเปอร์คลอโรฟิลลิน (Sodium Copper Chlorophyllin) ได้ความบริสุทธิ์ ประมาณ 0.5 - 2 % ซึ่งจะอยู่ในรูปคลอโรฟิลล์ผง (powder chlorophyll) ซึ่งเป็นคลอโรฟิลล์ ดิบที่ผ่านขบวนการให้ความร้อนจึงทำให้สูญเสียคุณค่าทางอาหาร แต่คลอโรฟิลล์ ของบ้านสมุนไพร เป็นคลอโรฟิลล์ที่สกัดด้วย วิธี ฟรีซดราย์ (Freeze Dry) ใช้ความเย็นด้วยขบวนการ 15 ขั้นตอนเพื่อสกัดสารบริสุทธิ์ออกมาจึงทำให้สารอาหารคงอยู่อย่างครบถ้วน และเป็นคลอโรฟิลล์ที่ละลายน้ำได้ (water soluble chlorophyll) องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกาให้การรับรองว่าไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ จากการเริ่มใช้คลอโรฟิลล์ บริสุทธิ์มาหลายสิบปี (อ่านเพิ่มเติมจากตารางด้านล่าง) เนื่องจาก คลอโรฟิลล์ ชนิดละลายน้ำได้(water soluble chlorophyll)จะถูกดูดซึมได้ทันทีในกระเพาะอาหาร ในกรณีที่ร่างกายใช้ไม่หมดจะถูกขับทิ้งไปทางระบบขับถ่ายไม่สะสมไว้ในร่างกาย แตกต่างจากคลอโรฟิลล์ที่ละลายในไขมันจะไม่ถูกดูดซึมที่กระเพาะอาหารแต่จะย่อยและดูดซึมได้ในลำไส้เล็กคลอโรฟิลล์ ชนิดเมื่อร่างกายใช้ไม่หมด จะถูกสะสมไว้ที่ตับ ซึ่งอาจจะเกิดอันตรายต่อตับได้ ซึ่งท่านสามารถสังเกตได้ด้วยตัวท่านเองเมื่อใช้ไประยะเวลาหนึ่งวิธีการสังเกตอย่างง่ายๆ ระหว่าง คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ (Pure Chlorophyll) และคลอโรฟิลล์ดิบ (Chlorophyllin)
1. คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % (water soluble chlorophyll) ให้ท่านสังเกตเมื่อผสมเข้ากับน้ำ ไม่ต้องเขย่าขวดหรือภาชนะที่ใส่ คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ จะละลายเข้ากับน้ำจนเต็มภาชนะ
2. เมื่อตั้งทิ้งไว้เป็นระยะเวลานานต้องไม่บูด และไม่มีสารประกอบใดๆ ตกตะกอนที่ก้นแก้วหรือภาชนะที่ใส่ ไม่ว่าจะตั้งไว้เป็นเดือนหรือหลายๆ เดือนก็ตาม เนื่องจากคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % ไม่มีส่วนผสมของสารประกอบอื่นๆ จึงไม่จำเป็นต้องดื่มให้หมดภายใน 1 วัน หรือ ภายใน 8 ชั่วโมง ท่านจะเก็บไว้นานเท่าใดก็ได้ ตามที่ท่านต้องการและพร้อมดื่ม
3. คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์เมื่อ นำเอาไอโอดีนมาหยด ต้องไม่เปลี่ยนเป็นสีม่วง เนื่องจากไม่มีส่วนผสมของแป้ง หรือสารประกอบอื่นๆ
4. คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % แท้ (pure chlorophyll) ต้องไม่มีส่วนผสมอื่นใด ความบริสุทธิ์สูงสุด 100 % จึงสามารถใช้หยอดตาได้โดยไม่มีอันตรายใดๆ และยังช่วยบำรุงดวงตา ลดอาการอักเสบรวมทั้งอาการระคายเคืองตาได้อีกด้วย รวมทั้งลดอาการเจ็บตาน้ำตาไหลเนื่องจาก ต้อลม ดังนั้นถ้าคลอโรฟิลล์ที่ท่านใช้ไม่บริสุทธิ์ถึง 100 % จึง ***ห้ามใช้หยอดตาอย่างเด็ดขาด***
[กลับด้านบน]
หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการต่างๆ จะสอบถามได้จากใคร …? จากการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % ของบ้านสมุนไพร เพื่อช่วยในการฟื้นฟูสุขภาพของผู้ป่วย สามารถชมตัวอย่าง ผู้ที่ป่วยและเคยลองใช้ได้ในหน้า ประสบการณ์ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ หรือสอบถามได้จากผู้มีประสบการณ์จริงเพื่อเป็นการยืนยันจากงานประชุมสัญจร ที่จัดขึ้นทั่วประเทศ ตามจังหวัดต่างๆ
สอบถามได้จากตัวแทนจำหน่ายที่อยู่ในทุกจังหวัดใกล้บ้านท่าน
หรือ ต่างจังหวัดรับฟังรายการเพื่อสุขภาพกับบ้านสมุนไพร หรือ สอบถามข้อมูลได้จากสถานีวิทยุชุมชน ต่างๆ ในบางพื้นที่ เช่น
FM 96.00 Mz คลื่นสานฝันคนภูไท อ.อากาศอำนวย จ.สกลนคร ออกอากาศจันทร์ – ศุกร์ เวลา 9.00 น. ถึง 10.00 น.
FM 93.50 Mz คลื่นนครวังยาง อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ออกอากาศ จันทร์ – ศุกร์ เวลา 14.00 น. ถึง 15.00 น.
FM 93.00 Mz คลื่น New FM อ.เมือง จ. สระแก้ว ออกอากาศ จันทร์ – ศุกร์
เวลา 14.00 น. ถึง 15.00 น.
FM 90.75 Mz คลื่นวิทยุพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เครือข่ายพุทธมณฑล จ. สระแก้ว ออกอากาศ จันทร์ – ศุกร์ เวลา 14.00 น. ถึง 15.00 น.
FM 99.50 Mz คลื่นบ้านแก้งเรดิโอ จ. สระแก้ว ออกอากาศ จันทร์ – ศุกร์ เวลา 12.00 น. ถึง 13.00 น.
FM 98.00 Mz คลื่นฟ้าใสเรดิโอ จ. สระแก้ว ออกอากาศ จันทร์ – ศุกร์ เวลา 12.00 น. ถึง 13.00 น.
FM 89.25 Mz อ. ปากชุม จ. เลย ออกอากาศ จันทร์ – อาทิตย์ เวลา 11.00 น. ถึง 12.00 น.
FM 107.75 Mz อ. เขมราฏ จ. อุบลราชธานี ออกอากาศ จันทร์ – อาทิตย์ เวลา 9.00 น. ถึง 10.00 น.
FM 101.50 Mz ต. บ้านแซว อ. เชียงแสน จ. เชียงราย ออกอากาศ เวลา 18.00 น. ถึง 19.00 น.
หรือ ติดต่อเบอร์โทร 086-0366174 , 084-1608359
หรือ จาก www.chlorophyll.tht.in
หรือ จาก www.bansamunpai.com
[กลับด้านบน]
รับตัวแทนจำหน่ายหรือ ไม่…? รับตัวแทนจำหน่ายสินค้าทั่วประเทศ สามารถสมัครได้ทุกวัน ท่านใดสนใจที่จะทำธุรกิจหรือ ต้องการสินค้าเพื่อจำหน่าย ติดต่อได้ที่ คุณเขมจิรา จิตมงคล เบอร์ โทร. 086-0366174 , 084-1608359 และสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก หน้าแผนการตลาดของบริษัท
[กลับด้านบน]
ถ้าต้องการรายละเอียดหรือศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ & อาหารอายุวัฒนะ สามารถหาอ่านเพิ่มเติมได้ที่ไหน..
สามารถหาอ่านได้จากหนังสือ คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ อาหารอายุวัฒนะ
เรียบเรียงโดย ดร. สังสิทธิ์ ศรีสุคนธ์ และ พญ. ชุดา ศรีสุคนธ์ ท่านสามารถ Download จากหน้า บรรยายพิเศษเรื่องธรรมชาติบำบัด
[กลับด้านบน]
การบริโภคผักทอด ผักต้ม จะได้สารอาหารเท่ากับการบริโภคผักสดตามธรรมชาติหรือไม่ ? ไม่เท่า เนื่องจากว่าการต้ม การทอดเป็นการผ่านกรรมวิธีที่ทำให้ สูญเสียคุณค่าทางอาหารไปแล้วถึง 70 % ที่เหลืออีก 30 % ก็คือวิตามินกับเกลือแร่ อาหารประเภทพืชผักสด และผลไม้ต่างๆ หากผ่านความร้อนเกินกว่า 55 องศาขึ้นไป เอ็มไซม์ต่างๆ จะเสื่อมหรือแปรรูปไป ร่างกายต้องการเอ็มไซม์เพื่อช่วยปรับระดับความสมดุลย์ของระบบคุ้มกันต่างๆ และจากวิธีการรับประทานอาหารในปัจจุบันเราได้รับเอมไซม์เข้าไปในร่างกายน้อยมาก ดังนั้นการรับประทานผักสดที่ปลอดสารพิษเท่านั้นจึงเป็นการรักษาคุณค่า และประสิทธิภาพของสารอาหารหรือที่เรียกว่า "ความสดเหมือนมีชีวิต (vital)
[กลับด้านบน]
บริษัท บ้านสมุนไพร จำหน่ายคลอโรฟิลล์ บริสุทธิ์ 100 % มานานแค่ไหนแล้ว …? มีจำหน่ายมาเป็น ปีที่ 8 มีผู้มีปัญหาด้านสุขภาพจำนวนมากใช้ผลิตภัณฑ์ของบ้านสมุนไพร แต่ยังไม่พบผู้ป่วยที่มีปัญหาจากการใช้ผลิตภัณฑ์ของบ้านสมุนไพร จึงมั่นใจได้ในเรื่องความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์
[กลับด้านบน]
ทำไมจึงมีผู้นิยมบริโภคคลอโรฟิลล์ บริสุทธิ์ 100 % กันมากในขณะนี้ …?
เนื่องจากการใช้ชีวิตของคนเมืองในปัจจุบันมีสภาวะที่เร่งรีบ ทำให้คนเมืองไม่มีเวลาใส่ใจในเรื่องสุขภาพมากนัก อาหารที่บริโภคจึงเป็นอาหารประเภทรีบเร่งหรืออาหารจานด่วน (Fast Food) ทำเวลาในช่วงอาหารเช้า อาหารกลางวันก็มักรับประทานอาหารตามสั่งแบบซ้ำๆ วนไปเวียนมา โดยมักจะวนซ้ำๆ อยู่แบบนี้เป็นเดือน อาหารเย็นก็มักจะเป็นแกงถุงโดยฝากท้องไว้กับตลาดนัดทั่วไป ทำให้ไม่ได้สารอาหารครบ 5 หมู่ตามที่นักโภชนาการกำหนดไว้ และอีกเหตุผลหนึ่งก็คืออาหารการกิน สภาวะแวดล้อม อากาศและน้ำในปัจจุบันนี้มีสารพิษเจือปนอยู่มาก รวมถึงการพักผ่อนที่ไม่เป็นไปตามความต้องการของธรรมชาติ ทำให้คนในปัจจุบันมีสภาพร่างกายเสื่อมโทรมและเจ็บป่วยง่าย
สัญญาณแห่งความเจ็บป่วยของร่างกายมักออกมาในรูปใดรูปหนึ่งดังต่อไปนี้
ผิวหมองคล้ำ แห้ง และหยาบกร้าน
ดูแก่กว่าวัย เนื่องจากเซลล์ของร่างกายเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว
กระเพาะอาหาร และลำไส้มีปัญหา
ขาดแรงใจ ไม่กระปรี้กระเปร่า เซื่องซึม ไม่กระฉับกระเฉง
เป็นหวัดหรือเจ็บป่วยได้ง่าย มีภูมิต้านทานโรคต่ำ
ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือโรคเบาหวาน
มีอาการแพ้สารเคมี แพ้สภาพแวดล้อม เป็นลมพิษบ่อยๆ
มีอาการปวดศีรษะ หรือมึนงงเป็นประจำ
แน่นท้อง จุกเสียดง่าย ปวดท้องอยู่บ่อยๆ
อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ไม่ค่อยมีแรง
ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ หรือตามข้อต่อต่างๆ ของร่างกาย
สุขภาพไม่ดี อ่อนเพลีย เจ็บป่วยบ่อยครั้ง
ระบบทางเดินหายใจมีปัญหา เป็นโรคภูมิแพ้
ระบบย่อยอาหารมีปัญหา มักมีอาการจุกเสียดแน่นเฟ้ออยู่เป็นประจำ
ท้องเสียง่าย
ลมหายใจไม่สะอาด มีกลิ่นปาก มีแผลพุพองในช่องปาก
ผอมหรืออ้วนจนเกินไป น้ำหนักตัวไม่สมดุล
มีปัญหาในการขับถ่าย ท้องผูกเป็นประจำ
ปวดศีรษะอยู่บ่อยๆ เป็นไมเกรนบ่อยครั้ง
เป็นสิวบ่อย หรือมีผดผื่นและริ้วรอยง่ายกว่าปกติ โดยเฉพาะสิวที่เกิดบริเวณหน้าผาก จะบอกถึงมูกและไขมัน กำลังก่อเกิดขึ้นที่ลำไส้ใหญ่
ตึงเครียดอยู่บ่อยๆ หรือมีอารมณ์ปรวนแปรง่าย
มีปัญหาในการนอนหลับ เช่น หลับยาก นอนกรน ประสาทตึงเครียด
ไร้สมรรถภาพทางเพศ ไม่มีอารมณ์ทางเพศ
ความคิดไม่แจ่มใส ความจำไม่แม่นยำ
เป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดี
มีอาการผมหลุดร่วง ผู้ที่เกิดอาการหัวเถิก หรือหัวล้าน แสดงว่า ระบบการดูดซึมอาหารทำงานได้ไม่เต็มร้อย เพราะมีเซลล์ตายมากกว่าเซลล์เกิด จึงมีมูกมากั้นเอาไว้ สาเหตุเนื่องมาจากการดื่มอัลกอฮอล์มาก กินอาหารรสจัด นอนดึก เครียดสั่งสมมาเป็นเวลานาน อาการของผมร่วงจะร่วงและค่อยๆบางลง นั้นคือสัญญาณเตือนให้แก้ไขพฤติกรรมที่ไม่ดี
นอนดึกเป็นประจำ คนที่นอนดึก เครียด นอนไม่หลับ ตื่นกลางดึก จะทำให้สัญญาณการหลั่งน้ำดี แลน้ำย่อยไม่พอเพียง จึงทำให้มีอาการ ปวดท้อง มีลม ท้องอืด จุกเสียด ปัสสาวะร้อน และสุดท้ายมักตามมาด้วย โรคไต
ทางบ้านสมุนไพรเห็นว่า คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % มีคุณภาพสามารถช่วยฟื้นฟูสุขภาพให้แข็งแรงขึ้นได้ จึงนำมาเผยแพร่เพื่อเสนอเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งสำหรับผู้ป่วยเพื่อฟื้นฟูให้มีสุขภาพดีขึ้น และบุคคลทั่วไปก็สามารถบำรุงร่างกายให้แข็งแรงขึ้นมากกว่าเดิมเป็นผลให้มีชีวิตที่ยืนยาว สามารถประกอบอาชีพโดยใช้ชีวิตที่เป็นสุขได้ปราศจากโรคภัยเบียดเบียน ดังคำที่ว่า ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ
[กลับด้านบน]
วิธีสังเกตคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % ชนิดละลายน้ำ (WATER SOLUBLE CHLOROPHYLL) …?
ให้ผสมน้ำแล้วตั้งไว้ประมาณ 8 ชั่วโมง ถ้าสังเกตเห็นการตกตะกอนอยู่ที่ก้นแก้ว แสดงว่าไม่ใช่ คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % เนื่องจากมีส่วนผสมของสารประกอบ เพราะคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์สด 100 % ชนิดละลายน้ำได้จะตั้งทิ้งไว้ได้นานโดยไม่จำกัดระยะเวลา นาน และสามารถดื่มได้ตลอดเวลา รวมทั้งเมื่อดื่มหมดแล้วจะต้องไม่มีคราบสีเขียวติดที่แก้วหรือภาชนะที่ใส่
การผสมคลอโรฟิลล์ บริสุทธิ์ 100 % สามารถรวมเป็นเนื้อเดียวกับน้ำบริสุทธิ์ ได้โดยไม่ต้องเขย่าขวดหรือแก้วแต่ประการใด เพราะเนื้อของคลอโรฟิลล์ที่มีโมเลกุลเท่ากับน้ำจะละลายไปในน้ำได้อัตโนมัติ จนเต็มหมดทั้งภาชนะที่บรรจุ (ภาพด้านล่างใช้ผสมให้เจือจางเพื่อให้สังเกตก้นภาชนะ และขอบภาชนะจะไม่มีคราบที่ติดขอบภาชนะ และตะกอนนอนก้นภาชนะเมื่อตั้งทิ้งไว้เป็นระยะเวลานานๆ ให้ลองทดสอบสังเกตดู)
การผสมคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์แบบใช้งานพร้อมดื่มจะมีลักษณะสีดังนี้
ข้อสังเกตของคลอโรฟิลล์ 100 % ชนิดละลายน้ำได้ สามารถใช้หยอดตาได้โดยไม่มีอันตรายใดๆ (กรณีหยอดตาใช้หัวเชื้อคลอโรฟิลล์ บริสุทธิ์เท่านั้น และห้ามผสมน้ำเด็ดขาด) และยังช่วยผู้มีปัญหาเรื่องโรคต้อลม ต้อกระจกได้อีกด้วย แต่ต้องแน่ใจว่าคลอโรฟิลล์ที่ท่านใช้อยู่ผ่านตามเกณฑ์คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ คือ ต้องมีสารเนื้อคลอโรฟิลล์อย่างน้อย 95 % เพราะหากไม่ถึง หรือมีส่วนผสมอื่นๆ เช่น แป้ง หรือ วิตามิน C (กรดแอสคอร์บิก) ห้ามนำมาหยอดตาเด็ดขาด เพราะอันตรายถึงขั้นตาบอดได้
คลอโรฟิลล์ ที่จำหน่ายในท้องตลาดปัจจุบัน มีอยู่ 2 ชนิด คือ แบบชนิดน้ำ และ ชนิดผง (Powder)
คลอโรฟิลล์ชนิดน้ำ มักจะเขียนระบุว่า Liquid Alfalfa Extract หรือ สารสกัดจากอัลฟัลฟ่า หรือ ใช้คำว่า Liquid Chlorophyll ตามด้วย % ของส่วนผสมที่ระบุเนื้อคลอโรฟิลล์
ตัวอย่าง เขียนข้างขวด หรือผลิตภัณฑ์ว่า “สารสกัดจากอัลฟัลฟ่า 0.85 %” หรือ “ Liquid Alfalfa Extract 0.85 %” หมายถึง ผลิตภัณฑ์นั้น มีสารคลอโรฟิลล์อยู่ 0.85 ส่วน ที่เหลืออีก 99.15 ส่วน เป็นสารประกอบเพิ่มเติม อาจจะเป็นสารประกอบ เช่น น้ำ หรือสารพวกน้ำมันเรซิติน ซึ่งแล้วแต่ผลิตภัณฑ์
คลอโรฟิลล์ชนิดผง (POWDER) มักจะเขียนระบุว่า “โซเดียมคอปเปอร์คลอโรฟิลล์ลิน (Sodium copper chlorophyllin) “ หรือ “คอปเปอร์คลอโรฟิลล์ลิน (copper chlorophyllin) “ และตามด้วย % ของส่วนผสมที่ระบุเนื้อคลอโรฟิลล์
ตัวอย่าง เขียนข้างขวด หรือผลิตภัณฑ์ว่า “คอปเปอร์คลอโรฟิลล์ลิน (copper chlorophyllin) 1.59 % “ หมายถึง ผลิตภัณฑ์นั้น มีสารคลอโรฟิลล์ อยู่ 1.59 ส่วน ที่เหลืออีก 98.41 ส่วน เป็นสารประกอบเพิ่มเติม อาจจะมีสารประกอบมากว่า 1 อย่าง เช่น แป้ง ซึ่งแล้วแต่ผลิตภัณฑ์นั้นจะผสม คลอโรฟิลล์ชนิดนี้เมื่อผสมน้ำแล้วจะมีการตกตะกอนนอนก้นเมื่อทิ้งไว้ระยะเวลาหนึ่งให้ลองทดสอบตั้งไว้ดู ส่วนประกอบที่ไม่สามารถรวมตัวเป็นเนื้อเดียวกับน้ำ จะตกตะกอนนอนก้นให้เห็น
คลอโรฟิลล์ ที่จำหน่ายในปัจจุบัน และมีขายในท้องตลาด มีความบริสุทธิ์อยู่ที่ประมาณ 1 - 2 % (สามารถสังเกตที่ฉลากข้างผลิตภัณฑ์เนื่องจาก มาตรฐาน อย. ต้องระบุปริมาณ ความบริสุทธิ์ของผลิตภัณฑ์ )
หากไม่แน่ใจว่าคลอโรฟิลล์ที่ท่านใช้อยู่มีส่วนประกอบของสารอื่นผสมอยู่หรือไม่ การทดสอบอย่างง่ายที่สุดในขั้นแรกให้ลองตั้งทิ้งไว้โดยใช้เวลานานๆ 1 – 2 อาทิตย์ หากมีตะกอนนอนก้นในภาชนะก็หมายถึงคลอโรฟิลล์ ที่ท่านใช้เป็นคลอโรฟิลล์ผสมแน่นอน เนื่องจากสารประกอบของสารอื่นไม่สามารถรวมตัวเข้าเป็นเนื้อเดียวกับน้ำได้ จึงแยกออกมาเป็นชั้นของ คลอโรฟิลล์ (น้ำสีเขียว) + สารประกอบ (ตะกอนนอนก้นขุ่นๆ คล้ายคราบตะไคร่น้ำ) ลองทดสอบดูจะหมดข้อสงสัย
เฉพาะในกรณีผู้ป่วยโรคตับ หรือโรคไตทำงานไม่ปกติ ห้ามใช้คลอโรฟิลล์ชนิดที่มีการตกตะกอนในน้ำอย่างเด็ดขาด และไม่สามารถหยอดตาได้เพราะจะเป็นอันตราย
องค์การอาหารและยาสหรัฐจึงให้การรับรองเฉพาะคลอโรฟิลล์ ที่ละลายน้ำได้ (WATER SOLUBLE CHLOROPHYLL) เท่านั้นว่าปลอดภัยต่อการบริโภคของคน ถึงแม้ว่าจะบริโภคในปริมาณมากต่อวัน ก็ไม่เกิดผลเสียต่อร่างกายแต่อย่างใด แต่จะมีผลในเรื่องของความสิ้นเปลืองเนื่องจากคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์มีราคาแพงมากในปัจจุบัน
คลอโรฟิลล์ ของ De Souza ต้องมีความบริสุทธิ์ไม่ต่ำกว่า 98 % (คลอโรฟิลล์ที่ใช้ในทางการแพทย์ทั่วโลกยอมรับต้องมีความบริสุทธิ์ไม่ต่ำกว่า 95 % ตามมาตรฐาน FDA)
คลอโรฟิลล์ชนิดละลายน้ำได้ จะดูดซึมได้ทันทีในกระเพาะอาหาร ในกรณีที่ร่างกายใช้ไม่หมด จะถูกขับทิ้งไปทางระบบขับถ่ายไม่สะสมไว้ในร่างกายผิดกับคลอโรฟิลล์ชนิดที่ละลายในไขมัน จะไม่ถูกดูดซึมที่กระเพาะอาหารแต่จะย่อยและดูดซึมได้ในลำไส้เล็ก คลอโรฟิลล์ ชนิดนี้เมื่อร่างกายใช้ไม่หมดจะถูกส่งไปสะสมไว้ที่ตับ (Liver) ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคเมื่อบริโภคติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากหน้าวิธีสังเกตคลอโรฟิลล์ บริสุทธ์ 100 %
[กลับด้านบน]
บริษัท บ้านสมุนไพรชัยมงคล จำกัด ได้รับการตรวจสอบจาก สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) หรือไม่ ...…? กรณีท่านที่เกรงว่าบริษัทไม่ผ่านการตรวจสอบจาก สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) หรือมีลักษณะเอาเปรียบผู้บริโภค ท่านสามารถตรวจสอบได้ตาม link เข้าสู่ website ของ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) หรือสอบถามที่ สายด่วน สคบ. โทร.1166 คลิ๊กที่นี่
[กลับด้านบน]
การเก็บรักษาคลอโรฟิลล์บริสุทธ์ 100 % ต้องทำอย่างไร ? …?
การเก็บรักษาคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ให้เก็บไว้ในตู้เย็นเหมือนการถนอมอาหารทั่วไป ส่วนถ้าต้องการการดื่มคลอโรฟิลล์ แบบผสมน้ำดื่ม แนะนำให้ใช้ผสมน้ำสะอาดที่อุณหภูมิห้องจะดีที่สุด แต่ข้อห้ามของการเก็บรักษาคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % คือ ห้ามให้ความร้อน หรือนำไปต้ม เนื่องจากจะทำให้คุณค่าสารอาหารที่มีประโยชน์สูญเสียไป
[กลับด้านบน]
ทำไมดื่มคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ แล้วจึงมีอาการแน่นหน้าอก จุกที่ลิ้นปี่...…? อาการแน่นหน้าอก จุกที่ลิ้นปี่ที่ กล่าวถึง ก็คือ อาการกระทุ้งโรค หรือปฏิกิริยาตอบโต้การบำบัด สามารถอธิบายได้ว่า ท่านมีอาการเป็นโรคกรดไหลย้อน และมีภาวะโรคหัวใจแทรกซ้อน การตอบโต้การบำบัดจะบอกได้ว่าท่านกำลังเป็นอะไร โดยมากอาการจะเกิดมากขึ้นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง และก็ลดลงเข้าสู่สภาวะสมดุลปกติ จึงต้องอดทนดื่มไปสักระยะหนึ่ง เมื่อระบบของร่างกายเข้าสู่สภาวะปกติอาการเหล่านี้จะหายไปเอง
[กลับด้านบน]
การใช้ยาแผนปัจจุบันที่เป็นสเตียรอยด์ (steroid) เป็นประจำ ส่งผลดี หรือผลเสียแก่ร่างกาย...…? การใช้ยาแผนปัจจุบัน ส่งผลดี และผลเสียแก่ร่างกายเราอย่างไร ตัวอย่างเช่น เราทานยาแก้ปวด เมื่อเราเกิดอาการปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ ยาแผนปัจจุบันจะไปกด ควบคุม ยับยั้ง กระบวนการต่างๆ ของร่างกายเอาไว้ไม่ให้มีการส่งสัญญาณซึ่งกันและกัน ทำให้ระบบต่างๆ ภายในร่างกายเริ่มเสื่อม อาการเจ็บปวดจะหายไปสักพัก แต่จะกลับมาเจ็บปวดมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งใช้ยาเพิ่มเป็นเวลานานปี ก็ยิ่งทำให้ตับและไตอ่อนแอ จนถึงเสื่อมได้ โดยจะไปทำให้หลอดเลือดตีบ ส่งอาหารไปเลี้ยงสมองได้น้อย อีกทั้งยังดึงน้ำหล่อเลี้ยงจากสมองออกมาใช้ จนถึงทำให้เซลล์สมองเสื่อมไวยิ่งขึ้น อาการปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ แสดงว่า ร่างกายเรามีความเสื่อม คนส่วนมากมักหายาลดไข้แก้ปวดมาทานทันที เพื่อเป็นการยับยั้งเฉพาะจุด จึงเป็นการทำลายระบบต่างๆ ของร่างกาย กระบวนการสร้างพลังงานในร่างกาย คือ Aminal Metabolism (ATP) พลังงานที่เกิดขึ้นในการนี้มีการแลกเปลี่ยนประจุไฟฟ้า ร่างกายต้องมีพลังงานในการเปลี่ยนรูป ทุกขบวนการในร่างกายมีความสัมพันธ์กัน เกิดไปพร้อมๆ กัน ถ้าขาดตัวใดตัวหนึ่งจะเกิดการเสื่อมของร่างกาย ยิ่งเราทานยาแผนปัจจุบันมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ระบบในร่างกายถูกทำลายมากขึ้นเท่านั้น และไตก็ถูกทำลายไปด้วย กรดอะมิโนจะถูกสร้างไม่ได้ จึงเป็นเหตุให้เกิดความร้อนสูง มีเซลล์เม็ดเลือดตายในเลือดเยอะมาก ร่างกายไม่สามารถสร้างเซลล์ใหม่ได้ตามต้องการ การใช้ยาแผนปัจจุบัน แล้วมีอาการหายจากโรคต่างๆ ได้เร็วช่วงหนึ่งเท่านั้น สุดท้ายก็จะเกิดอาการสะสมเซลล์เม็ดเลือดตายในกระแสเลือดมากเพิ่มขึ้น การขับเซลล์เม็ดเลือดตายน้อยลง ทำร่างกายเป็น ซีสต์ เนื้องอก และมะเร็ง ในที่สุด ระบบเมตาบอลิซึ่ม คือ ระบบการสร้างพลังงาน ซึ่งเกิดตลอดเวลา แต่ต้องไปถูกรบกวนด้วยอารมณ์ อากาศเป็นพิษ การทำงานหนักเกินไป การนอนดึก การนอนไม่หลับ ทำให้ระบบ Metabolism ทำงานผิดไปหมด ทุกกระบวนการในร่างกายมีความสัมพันธ์กัน จึงเกิดไปพร้อมๆ กัน ดังนั้นเราควรรักษาระบบ Metabolism ให้กลับเข้าสู่สมดุลให้เร็วที่สุด โดยไม่ต้องใช้ยาแผนปัจจุบัน แต่หากร่างกายเราถูกควบคุมและยับยั้งโดย ยาแผนปัจจุบันแล้ว เราจะเกิดอาการเจ็บป่วยต่อเนื่อง โดยไม่ทราบสาเหตุและแพทย์ก็ตรวจไม่พบ ดังนั้นสังเกตว่าเมื่อไปพบแพทย์เพื่อรักษาคอเรสตอรอลสูงแพทย์มักจะให้ยาละลายไขมัน กระบวนการละลายไขมันที่ถูกต้องไม่ใช่การใช้ยาเคมีมาละลายไขมัน แต่การละลายไขมันควรเกิดจาก Enzyme (Acetyl Co-A) ต้องมีน้ำตาลเพียงพอ ต้องมีแป้ง มีจุลินทรีย์ที่ดีเพียงพอ
ส่วนในแง่ดี ของ ยาแผนปัจจุบันที่เป็นสเตียรอยด์ (steroid) ก็ใช่ว่าจะไม่มี...
ธรรมชาติบำบัดนั้น จะเป็นการอธิบายถึงต้นตอของโรคต่างๆ อาการของโรคต่างๆ แต่การรักษาโดยใช้สารอาหารหรือธรรมชาติบำบัดนั้นก็ใช่ว่าจะดีไปเสียหมด กรณีที่ควรใช้ยาแผนปัจจุบันก็ เช่น
การบาดเจ็บอย่างรุนแรง การประสบอุบัติเหตุกระดูกหัก เลือดออกมากจากการเกิดบาดแผลขนาดใหญ่ ภาวะไส้ติ่งแตก กล้ามเนื้อหัวใจเฉียบพลัน หัวใจวาย โรคตับในสภาวะที่รุนแรง โรคปวดข้อที่มีอาการบวมมาก การรักษาต้องใช้การรักษาแบบเร่งด่วน เช่น การผ่าตัด การใช้ยาปฏิชีวนะจำนวนมาก ใช้เพื่อรักษาชีวิตให้พ้นขีดอันตรายในสภาวะฉุกเฉินก่อน เพื่อให้อาการเบาบางลงอย่างรวดเร็ว จึงนำแนวทางของธรรมชาติบำบัดโดยใช้สารอาหารมาใช้ทีหลัง เพื่อให้อาการฟื้นฟูขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะถ้าอาการเร่งด่วนแบบนี้มารอการใช้สารอาหารสกัดจากพืชผักก็คงไม่ทันการ คนป่วยก็อาจเสียชีวิตไปก่อน นี่ก็คือจุดอ่อนของธรรมชาติบำบัดคือ ต้องไม่เป็นโรคที่เร่งด่วน เพราะการฟื้นฟูโดยใช้ธรรมชาติบำบัดต้องใช้เวลาในการปรับตัว การใช้สารอาหารเพื่อปรับสมดุลเป็นการแก้ไข กลุ่มของโรคเสื่อมที่เกิดจากการเสียสมดุลของระบบภายในร่างกาย ระบบเสียสมดุลนานก็ใช้เวลาในการปรับนาน ระบบเสียสมดุลน้อยก็ใช้เวลาในการปรับสมดุลน้อย ดังนั้นทุกคนจึงใช้เวลาไม่เท่ากัน
[กลับด้านบน]
อาการของการเกิดมะเร็งในอวัยวะต่างๆ ที่ควรทราบ ...…?
มะเร็งลำไส้ อาการ น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว มีอาการปวดท้องอย่างมาก และระบบการย่อยผิดปกติ มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ ***วิธีการสังเกตข้อแตกต่างระหว่างริดสีดวงทวารกับมะเร็งลำไส้*** ริดสีดวงทวารถ้าใช้กระดาษเทิชชูซับแล้วมีเลือดสีแดงสด นั้นคืออาการของริดสีดวงทวาร แต่ถ้าหากเลือดมีสีดำคล้ำนั้น A1ารของ โรคมะเร็งลำไส้
มะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาการ มีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้เกิดอาการติดเชื้อในบางส่วนของร่างกาย
มะเร็งผิวหนัง อาการ มีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานาน ตลอดจนไฝ หรือหูดที่โตขึ้น และมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่างของขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่า เมลาโตมา (Melanoma) คือ เนื้องอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระ จุดด่างหรือ ไฝ
มะเร็งทรวงอก อาการ มีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนม หัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนาขึ้น มีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณรักแร้ บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิดขึ้นที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวัง เพราะผู้หญิง 9 ใน 10 คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่า ซีสต์
มะเร็งในกระเพราะอาหาร อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว อาเจียรออกมาเป็นเลือด ท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อยบ่อย รู้สึกเหมือนมีเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งได้รับประทานอาหารไปเพียงไม่กี่คำ
มะเร็งในลำคอ อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบาก หรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึกได้
มะเร็งในช่องปาก อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือที่ลิ้นเป็นเวลานาน มีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษา หรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือก เนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำ หรือใส่ไว้เป็นระยะเวลานาน
มะเร็งสมอง อาการ ปวดศีรษะนานๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อาเจียรหรือมีอาการผิดปกติของการมองเห็น เช่น ตาพร่า และเห็นแสงเขียวๆ แดงๆ ลอยไปมา เวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือเป็นลมโดยกะทันหัน อวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงาน เช่น มีอาการชา และเป็นอัมพาตชั่วคราว ควรให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติปวดหัวและมีอาการเหล่านี้ร่วมด้วย
มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ
มะเร็งตับ อาการ ปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ชัดเจน
มะเร็งปอด อาการ มักมีอาการไอบ่อยๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลาย น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว เจ็บหน้าอกและหายใจลำบาก หรือมีอาการหอบปนอยู่ทั้งๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
มะเร็งในเม็ดเลือด (ลูคีเมีย) อาการ เหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติ มักมีอาการฟกช้ำดำเขียว หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุ และมักเกิดร่วมกับอาการปวดตามข้อต่างๆ ทั่วร่างกาย บางครั้งท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของช่องท้อง
มะเร็งรังไข่ อาการ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือมีอาการเจ็บปวดหลังมีเพศสัมพันธ์ มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการปวดหลัง
มะเร็งในมดลูก อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีการบวมในช่องท้อง
มะเร็งปากมดลูก อาการ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้งๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณ อาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูดเนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ได้
มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ
ที่มา... หนังสือ ไม่ยากถ้าไม่อยากป่วย เรียบเรียงโดย ดร. สุภัสสร วัฒนกิจ
[กลับด้านบน]
สิ่งที่ควรที่ควรหลีกเลี่ยงในการบริโภค...…?
สิ่งที่ควรที่ควรหลีกเลี่ยงในการบริโภค ได้แก่
น้ำอัดลม
น้ำอัดลมเป็นเครื่องดื่มที่ประกอบไปด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ น้ำตาลทราย และกรดฟอสฟอริก (Phosphoric Acid> อันตรายของน้ำอัดลมนั้นเมื่อเราดื่มเข้าไป ร่างกายของเราจะรับเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ กรดฟอสฟอริก และน้ำตาลเข้าไปในเวลาเดียวกัน ซึ่งทั้ง 3 อย่างมีผลต่อค่าพีเอช (PH) ของเลือด โดยจะทำให้ค่าพีเอช (PH ) ต่ำลง ซึ่งหมายความว่า เลือดของคุณจะมีความเป็นกรดสูงขึ้น ค่าพีเอช (PH) ของเลือดที่เปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อยก็สามารถก่อให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองที่รุนแรงตามมาได้ และเพื่อแก้ไขความผิดปกติดังกล่าวให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ร่างกายจึงมีระบบการป้องกันความปลอดภัย โดยการดึงเอาแคลเซี่ยมที่เก็บสะสมไว้มาช่วยปรับค่าพีเอช (PH) ของเลือดและเนื้อเยื่อให้กลับมาอยู่ในสภาพปกติ การดึงเอาแคลเซี่ยมที่สะสมอยู่ออกมาใช้งาน ร่างกายของคุณจะถูกบังคับให้ใช้พลังงานแคลเซี่ยมจำนวนมากไปกับการพยายามปรับค่าความเป็นกรดด่างให้กลับมาเป็นปกติ การบังคับให้ร่างกายดึงเอาแคลเซี่ยมที่สะสมไว้มาใช้ ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ นอกจากร่างกายของคุณจะไม่สามารถเยียวยาตัวมันเองได้อย่างเต็มที่แล้ว คุณยังมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุนเนื่องจากร่างกายขาดแคลเซี่ยม
น้ำตาลทรายขาว
น้ำตาลทรายขาว หรือน้ำตาลซูโครส (Sucrose) ก่อให้เกิดกรดขึ้นภายในร่างกายได้ในเวลาอันรวดเร็วและรุนแรง และยังดึงสารอาหารที่จำเป็นที่ร่างกายสะสมไว้ออกมาใช้อีกด้วย ตัวอย่างเช่น การดื่มน้ำหวาน 1 แก้ว ซึ่งมีน้ำตาลอยู่ 9 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทรายขาวนี้จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด และทำให้เลือดมีสภาพเป็นกรดจนถึงขีดสุดอย่างรวดเร็ว หากปราศจากระบบป้องกันตัวของร่างกายที่สร้างขึ้นเองตามธรรมชาติ คุณอาจเสียชีวิตได้ในเวลาไม่กี่นาที เพื่อจะทำให้ค่าพีเอช (PH) ของเลือดมีค่าความเป็นกรดด่างตามปกติ คุณต้องดื่มน้ำในปริมาณถึง 32 แก้วอย่างรวดเร็ว แต่ความเป็นจริงไม่มีใครสามารถดื่มน้ำในปริมาณที่มากมายขนาดนั้นในระยะเวลาอันสั้น ดังนั้นเพื่อขจัดปัญหาดังกล่าว ร่างกายจึงมีระบบป้องกันตนเองโดยการดึงเอาแคลเซี่ยมจากกระดูกและฟันในปริมาณที่มากเข้ามายังกระแสเลือด เพื่อปรับเลือดที่มีความเป็นกรดให้มีความเป็นกลาง ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ คุณยังมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุนเนื่องจากร่างกายขาดแคลเซี่ยม เช่นกัน
แต่ที่อันตรายอย่างมากก็คือ น้ำตาลทรายขาวยังมีอันตรายจากผงฟอกขาวอีกด้วย ถ้าจำเป็นต้องบริโภคควรเลี่ยงไปใช้น้ำตาลทรายแดงในการบริโภคแทน
ผงชูรส
ผงชูรส หรือ โมโนโซเดียมกลูตาเมต (Monosodium Glutamate) หรือ MSG เป็นสารที่ใช้เพิ่มรสชาติของอาหาร องค์ประกอบหลักของผงชูรส คือ กรดอะมิโน ที่มีชื่อว่า "กรดกลูตามิก" หรือ "กลูตาเมต" บางท่านอาจเคยมีอาการชาตามมือ และร้อนวูบวาบที่ปาก ลิ้น ใบหน้า และรู้สึกแน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก บางครั้งอาจมีผื่นแดงขึ้นตามตัว อาการเหล่านี้เป็นที่รู้จักกันดีในนาม โรคภัตตาคารจีน (Chinese Restaurant Syndrome) หรือโรคแพ้ผงชูรส
นอกจากจะมีอาการข้างต้นแล้ว หากรับประทานอาหารที่มีปริมาณผงชูรสในปริมาณที่มาก เป็นประจำย่อมเกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ ดังนี้
ทำลายระบบประสาทตา สายตาเสียหรือเกิดตาบอดได้
ทำลายกระดูก และไขกระดูก ซึ่งผลิตเม็ดเลือดแดงในร่างกาย อาจทำให้เกิดโรคโลหิตจางได้ ทำให้วิตามินในร่างกายลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินบี 6 ทำให้เป็นโรคผิวหนังได้ง่าย
ทำลายสมองส่วนหน้าหรือไฮโปทาลามัส ทำให้การเจริญเติบโตช้า ปัญญาอ่อน และเป็นหมัน
ทำลายระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เป็นโรคประสาทได้ง่ายขึ้น
สำหรับ ผู้ที่ตั้งครรภ์ ถ้ากินผงชูรสมากๆ จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครโมโซมของทารกในครรภ์ ทำให้ร่างกายของเด็กเกิดความผิดปกติ ปากแหว่ง แขนขาพิการได้
[กลับด้านบน]
ลักษณะของผู้หญิงที่มดลูกไม่ปกติ และผู้หญิงที่มดลูกปกติ สามารถสังเกตได้อย่างไร...…?
ลักษณะของผู้หญิงที่มดลูกไม่ปกติ (มดลูกโต , มดลูกต่ำ, มดลูกหน่วง) สามารถสังเกตอาการได้ดังนี้ คือ
• หน้าท้องกลม
• ปวดท้องประจำเดือน
อาการปวดท้องเมนส์ธรรมดา ปวดในระยะที่มาวันแรก ๆ คือ วันที่ 1 หรือ 2 แล้วหายถือว่าเป็นอาการปกติ แต่ถ้าหากมีการปวดท้องเมนส์ที่มากผิดปกติ คือวันที่ 4 ที่ 5 แล้วก็ยังปวด ปวดมากแบบต้องกินยาตลอด และเป็นอาการเรื้อรังที่ปวดมากขึ้นทุกเดือน ๆ มากกว่า 6 เดือน นั่นเป็นสัญญาณอันตราย
• มีกลิ่นภายใน ติดเชื้อง่าย
• มีระดูขาวตลอดเดือน
• ช่องคลอดขยายตัวออก (ไม่กระชับ)
• มีลมเข้าออกช่องคลอด
• กล้ามเนื้อในส่วนต่างๆ ของร่างกายจะหย่อน
• หูรูดหย่อนกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
• แต่เมื่อเบ่งปัสสาวะ จะไม่ค่อยออก เนื่องจากปากมดลูกไหลลงมาปิดท่อปัสสาวะ
• มีเพศสัมพันธ์เจ็บ
• มีปัญหาเรื่องแท้งลูกง่าย เกิดภาวะการมีบุตรยาก
• ประจำเดือนมาไม่ปกติ
• ผิวสากไม่ลื่น ไม่ใสแวว
• ปวดหน่วงในมดลูก มดลูกอักเสบแสบภายใน
• สังเกตได้ โดยดูจากหน้าท้องจะพบว่า หน้าท้องกลม (ดังตัวอย่างในรูป)
ลักษณะของผู้หญิงที่มดลูกปกติ (มดลูกเข้าอู่) สามารถสังเกตอาการได้ดังนี้ คือ
• หน้าท้องจะนูนตรงกลาง ข้างๆจะแฟ็บ (ดังตัวอย่างในรูป)
สาเหตุที่ทำให้มดลูกหย่อน นั้นมีสาเหตุ ดังต่อไปนี้
• ขี้กลัว , ขี้ตกใจ , ความเครียด
• ผ่าคลอดหรือแท้งลูก
• รับประทานของหมักของดองมาก
• หลังคลอดบุตรไม่ได้อยู่ไฟ (แบบโบราณ)
[กลับด้านบน]
ป่วยเป็นโรคเบาหวานมานาน ถ้าต้องการใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์เพื่อช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกาย ต้องดื่มอย่างไร...…?
โรคเบาหวานถ้าต้องการใช้คลอโรฟิลล์ บริสุทธิ์เพื่อช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกาย
ดื่มเพื่อปรับสภาพร่างกายในการรับสารอาหารครั้งแรก ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % โดยใช้ปริมาณ 5 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร เป็นเวลา 2 - 3 วัน
เดือนที่ 1 ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % ปริมาณ 10 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวัน
เดือนที่ 2 ให้เพิ่มปริมาณคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % โดยใช้ ปริมาณ 20 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวัน
เดือนที่ 3 ให้เพิ่มปริมาณคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % โดยใช้ ปริมาณ 30 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวัน
เดือนที่ 4 เมื่อระดับน้ำตาลปรับลดลงสู่สภาวะปกติแล้ว ท่านสามารถลดปริมาณลงเหลือ 10 ซีซี ผสมน้ำ ต่อวัน
ในช่วงแรกสังเกตว่าระดับน้ำตาลในเลือดอาจจะเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม จะใช้เวลาอยู่ช่วงหนึ่ง ในช่วงเวลาของเดือนที่ 1 แต่ไม่ต้องตกใจ เมื่อน้ำตาลในกระแสเลือดถูกสลายหมดแล้ว ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะลดลงสู่ระดับปกติ แต่สามารถสังเกตได้ว่าท่านจะไม่เหนื่อยไม่เพลีย
ท่านที่เป็นเบาหวานสะสมมาตั้งแต่ 5 ปี ถึง 20 ปี ระดับน้ำตาลในเลือดจะลดลงในเดือนที่ 2 แต่ถ้าเป็นโรคเบาหวานน้อยกว่า 5 ปี ระดับน้ำตาลในเลือดอาจจะลดลงจนถึงระดับปกติในช่วงประมาณเดือนแรก
ต้องดื่มให้หมดขวด 1.5 ลิตรในแต่ละวัน
ห้ามทานอาหารทำลายกระดูก ได้แก่ ผงชูรส น้ำอัดลมที่มีสีดำ ยาฆ่าแมลงจากผัก และผลไม้
กรณีมีแผลที่เกิดจากโรคเบาหวาน ท่านสามารถใช้หัวเชื้อบริสุทธิ์ไม่ต้องผสมน้ำ ใช้หยอดบริเวณแผลที่รักษาไม่หายขาด ที่เกิดจากโรคเบาหวานได้
สามารถใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบันที่รับจากโรงพยาบาลได้
[กลับด้านบน]
ป่วยด้วยอาการโรคแทรกซ้อนจากการติดเชื้อ HIV ถ้าต้องการดื่มคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์เพื่อช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกาย จะต้องดื่มอย่างไร...และขอผู้ที่ป่วยที่สามารถสอบถามอาการได้ด้วย……?
เดือนที่ 1 ให้ใช้สารสกัดคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % ปริมาณ 30 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวัน
โรคเอดส์ เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อ ไม่ใช่โรคที่เกิดจากการเสื่อมของร่างกาย แต่สามารถใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ฟื้นฟูได้จากประสบการณ์ การใช้คลอโรฟิลล์ บริสุทธิ์กับผู้ที่ติดเชื้อโรคนี้จะไม่กำหนดระยะเวลาในการดื่มเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายโดยการใช้นั้นจะให้ดื่มไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่องจนกระทั่งร่างกายมีสภาพร่างกาย และภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น คุณสามารถสังเกตได้จากค่า CD 4 ที่เพิ่มขึ้นตามลำดับ โดยสามารถเปรียบเทียบค่าก่อนเริ่มดื่ม และหลังจากดื่มคลอโรฟิลล์ บริสุทธิ์ผ่านไปโดยสามารถทดสอบได้หลังจากเดือนแรก ให้สังเกตได้จากอาการป่วยที่เคยเป็นจะลดน้อยลง และมีค่า CD 4 สูงขึ้นและจะมากขึ้นเรื่อยๆ ในเดือนต่อๆ มา
เมื่อร่างกายของท่านเข้าสู่สภาวะปกติให้ลดปริมาณ สารสกัดคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ เหลือเป็น 10 ซีซี ต่อน้ำ 1.5 ลิตร
ในช่วงแรกหลังจากดื่มคลอโรฟิลล์จะมีการตอบโต้การบำบัดโรค หรืออาการกระทุ้งโรค โดยปวดเมื่อยทั้งตัว บางรายมีไข้อยู่หลายวัน บางรายมีอาการง่วงซึมทั้งวัน นั้นแสดงว่าท่านใช้ได้ผลเป็นอย่างดี ให้พยายามทนดื่มต่อไป หลังจากนั้นเมื่อระยะเวลามากกว่า 1 เดือน อาการทุกอย่างจะดีขึ้น
ห้ามทานผงชูรส น้ำอัดลมที่มีสีดำ ยาฆ่าแมลงจากผักและผลไม้
ห้ามทานผักที่มีเมือกมาก
ถ้าเลี่ยงได้ ห้ามทานปลา 5 ชนิดได้แก่ ปลาสลิด ปลาดุก ปลาสวาย ปลาไหล ปลานิล
ตัวอย่างผู้ป่วยให้สอบถามได้ที่ คุณอ้อย เจษฎากร สุยะวาด โทร. 081-6394399
[กลับด้านบน]
ป่วยเป็นโรคเก๊าต์มาหลายสิบปี สามารถดื่มคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์เพื่อช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายได้หรือไม่ ถ้าได้จะต้องดื่มอย่างไร...…?
เดือนที่ 1 ให้ใช้สารสกัดคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % ปริมาณ 15 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวัน
โรคเก๊าต์ ในระยะเวลา 3 – 7 วัน จะมีอาการที่ท่านสังเกตได้คือ มีการปวดมากขึ้นตามข้อ ปวดหัวครั่นเนื้อครั่นตัว มีอาการป่วยเป็นไข้อยู่ 2- 3 วัน หรือมากกว่า บางท่านอาจปวดมากจนทนไม่ได้ ให้ลดปริมาณลงเหลือ 10 ซีซี ต่อน้ำ 1.5 ลิตร และให้ใช้วิธีดื่มน้ำอุ่นตาม ถ้ายังไม่ดีขึ้นสามารถใช้ยาแก้ปวดแผนปัจจุบันร่วมด้วยได้
เดือนที่ 2 ให้ลดปริมาณคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % เป็น ปริมาณ 10 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวัน
ห้ามทานผงชูรส น้ำอัดลมที่มีสีดำ ยาฆ่าแมลงจากผักและผลไม้
ลดปริมาณการทานสัตว์ปีก และเครื่องในสัตว์ทุกชนิด
[กลับด้านบน]
โรคลูคีเมีย สามารถดื่มคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์เพื่อช่วยฟื้นฟูสภาพของร่างกายได้หรือไม่ ถ้าได้จะต้องดื่มอย่างไร...…?
ให้ใช้สารสกัดคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ ปริมาณ 10 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ดื่มแทนน้ำตลอดทั้งวัน
เดือนที่ 1 หลังจากดื่มจะสังเกตได้ว่า อาการจ้ำเลือดบริเวณผิวหนังจะลดน้อยลง อาการป่วยด้วยโรคต่างๆ ลดน้อยลง สามารถนั่งรถในระยะทางไกลๆ หรือขับรถไปไกลๆ ได้ โดยไม่อ้วกหรืออาเจียน อาการป่วยและมีอาการตัวเย็นก็จะลดความถี่ลง
ห้ามทานผงชูรส น้ำอัดลมที่มีสีดำ ยาฆ่าแมลงจากผักและผลไม้
[กลับด้านบน]
ป่วยเป็นโรคไตมานานหลายปี เป็นแบบที่ฟอกไตแล้ว คุณหมอนัดอาทิตย์ละ 2 ครั้ง สามารถดื่มคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์เพื่อช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายให้ดีขึ้นได้หรือไม่ ถ้าได้จะต้องดื่มอย่างไร...…?
ป่วยเป็นโรคโรคไตมานานหลายปี เป็นแบบที่ฟอกไตและที่คุณหมอห้าม ดื่มน้ำในปริมาณมาก หรือจำกัดปริมาณการดื่มน้ำ เพราะจะเกิดอาการน้ำท่วมปอด โดยเฉพาะคนที่ฟอกไตแล้ว สามารถใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % ได้ แต่ห้ามผสมน้ำดื่ม แต่ให้ใช้หัวเชื้อบริสุทธิ์ เทใส่ขวดสเปรย์ หรือขวดหยอด (Dropper) หยดใต้ลิ้น
ผู้ที่มีปัญหาโรคไต มักมีอาการ ปัสสาวะบ่อย นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย เป็นตะคิว ปวดเมื่อย เลือดลมไม่ดี ผมหงอกก่อนวัย ถ่ายอุจจาระไม่จับตัวเป็นก้อน
1-5 วันแรก ใส่ขวดสเปรย์ปริมาณ 10 ซีซี / วัน โดยการใช้ ให้อมไว้ใต้ลิ้น 3- 5 นาที ทุกๆ 1 ชั่วโมง (ใช้จนหมดขวดสเปรย์)
6-15 วัน ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % โดยเพิ่มปริมาณเป็น 20 ซีซี / วัน โดยการใช้ ให้อมไว้ใต้ลิ้น 3- 5 นาที ทุกๆ 1 ชั่วโมง (ใช้จนหมดขวดสเปรย์)
หลังจาก 15 วัน ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % โดยเพิ่มปริมาณเป็น 30 ซีซี / วัน โดยการใช้ ให้อมไว้ใต้ลิ้น 3- 5 นาที ทุกๆ 1 ชั่วโมง (ใช้จนหมดขวดสเปรย์)
ข้อสังเกตหลังจาก 30 วัน อาการจะเริ่มดีขึ้น โดยสามารถสอบถามอาการจากผู้ป่วยได้ตลอดเวลา ก็ให้ใช้อยู่ที่ 30-40 ซีซี ต่อวัน ใช้ขวดสเปรย์ จนกระทั้งผู้ป่วยดีขึ้นจึงเริ่มผสมน้ำ เช่น คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % เป็น 10 ซีซี ต่อ น้ำ 10 ซีซี (การผสมน้ำให้ดูจากอาการผู้ป่วยเป็นหลัก)
ห้ามทานผงชูรส น้ำอัดลมที่มีสีดำ ยาฆ่าแมลงจากผักและผลไม้
ข้อห้าม ต้องเลิกรับประทานเนื้อสัตว์ทุกชนิด (ยกเว้นเนื้อปลาทานได้) อาหารรสเค็มจัด อาหารทะเล เครื่องดื่มอัลกอฮอร์
สามารถใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบันที่รับจากโรงพยาบาลได้
[กลับด้านบน]
ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้มานานหลายปี มีน้ำมูกไหลตลอดเวลา มีอาการจามตอนเช้าหรือช่วงเวลาที่อาการเย็นหรือฝนใกล้ตก เป็นตลอดเวลาที่มีอาการเย็น มีผื่นคันคล้ายๆ ลมพิษ สามารถดื่มคลอโรฟิลล์ บริสุทธิ์ 100 % เพื่อช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายให้ดีขึ้นได้หรือไม่ ถ้าได้จะต้องดื่มอย่างไร..…?
ให้ใช้สารสกัดคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ ปริมาณ 15 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ดื่มแทนน้ำตลอดทั้งวัน
ช่วงวันที่ 1 - 7 อาการช่วงนี้จะจามบ่อย มีน้ำมูกออกมากขึ้น บางรายอาจเป็นไข้ อยู่ช่วงเวลาหนึ่ง บางท่านอาจมีอาการปวดหัวร่วมด้วย แต่ให้ดื่มต่อไปเรื่อยๆ จะสังเกตว่าทุกอย่างจะดีขึ้น ไม่เกินระยะเวลา 1 เดือน น้ำมูกลดน้อยลง อาการจามหายไป
ห้ามรับประทานอาหารทำลายกระดูก ได้แก่ ผงชูรส น้ำอัดลมที่มีสีดำ รวมถึงยาฆ่าแมลงจากผักและผลไม้
งดการดื่มนมวัว หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมวัว
หากเป็นไปได้ให้เลิกรับประทานเนื้อสัตว์ทุกชนิด (ยกเว้นเนื้อปลาทานได้) ลดปริมาณการดื่มเครื่องดื่มอัลกอฮอร์
สามารถใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบันที่รับจากโรงพยาบาลได้
[กลับด้านบน]
ป่วยเป็นโรคไต (แบบยังไม่ฟอกไต) ถ้าดื่มเพื่อช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายจะต้องดื่มอย่างไร...…?
คือ กรณีโรคไต (แบบยังไม่ฟอกไต) การใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % ให้ผสมน้ำ ดื่มได้ตามปกติ
1 - 5 วันแรก ให้ผสมน้ำ ปริมาณ 10 ซีซี / วัน / 1 ขวด (น้ำสะอาด 1.5 ลิตร)
6 - 15 วัน ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % โดยเพิ่ม ปริมาณเป็น 15 ซีซี / วัน / 1 ขวด (น้ำสะอาด 1.5 ลิตร)
หลังจาก 15 - 30 วัน ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % โดยเพิ่ม ปริมาณเป็น 20 ซีซี / วัน / 1 ขวด (น้ำสะอาด 1.5 ลิตร)
โดยทั่วไปหลังจาก 30 วัน อาการจะเริ่มดีขึ้น (แต่เฉพาะบางท่านที่สุขภาพร่างกายแข็งแรงมากจะเห็นผลภายใน 7 วันแรกที่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์) โดยสามารถสอบถามอาการจากผู้ป่วยได้ตลอดเวลา สังเกตได้ว่าปัสสาวะมีความถี่น้อยลงมาก อาการเบาเนื้อเบาตัวอย่างเห็นได้ชัด ตัวอย่าง เช่น ตอนกลางคืนปัสสาวะ 5 ครั้ง จะลดลงเหลือ 3 ครั้ง และ 2 ครั้ง และจนเป็นปกติ หลังจากนั้นให้ลดปริมาณการใช้ คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % เป็น 10 ซีซี ต่อ น้ำ 1.5 ลิตร ดื่มตามการผสมปกติเพื่อปรับสมดุลของร่างกาย
ห้ามทานอาหารทำลายกระดูก ได้แก่ ผงชูรส น้ำอัดลมที่มีสีดำ น้ำตาลทรายขาว รวมถึงยาฆ่าแมลงจากผักและผลไม้
ห้ามดื่มเครื่องดื่มมีอัลกอฮอร์ เช่น สุรา เบียร์
หากเป็นไปได้เลิกรับประทานเนื้อสัตว์ทุกชนิด อาหารรสเค็มจัด อาหารทะเล ยกเว้นเนื้อปลาทานได้
สามารถใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบันที่รับจากโรงพยาบาลได้
[กลับด้านบน]
ป่วยเป็นโรคไทรอยด์ (แบบเป็นพิษ) ถ้าดื่มเพื่อช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายจะต้องดื่มอย่างไร...…?
คือ กรณีโรค โรคไทรอยด์แบบเป็นพิษ การใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % ให้ผสมน้ำ ดื่มได้ตามปกติ
1-5 วันแรก ให้ผสมน้ำ ปริมาณ 10 ซีซี / วัน / 1 ขวด (น้ำสะอาด 1.5 ลิตร)
6 - 15 วัน ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % โดยเพิ่ม ปริมาณเป็น 15 ซีซี / วัน / 1 ขวด (น้ำสะอาด 1.5 ลิตร)
หลังจาก 15 - 30 วัน ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % โดยเพิ่ม ปริมาณเป็น 20 ซีซี / วัน / 1 ขวด (น้ำสะอาด 1.5 ลิตร)
และให้เพิ่มใช้หัวเชื้อบริสุทธิ์ เทใส่ขวดสเปรย์ หรือขวดหยอด (Dropper) หยดใต้ลิ้น อมไว้ 3-5 นาที แล้วจึงกลืน ใช้ใส่ขวดสเปรย์ (ขนาด 10 ซีซี ) เช้า ½ ขวด และ ตอนเย็น ½ ขวด ก่อนอาหาร โดยทั่วไปหลังจาก 30 วัน อาการจะเริ่มดีขึ้น (แต่เฉพาะบางท่านที่สุขภาพร่างกายแข็งแรงมาก จะเห็นผลภายใน 15 วันแรกที่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์) โดยสามารถสอบถามอาการจากผู้ป่วยได้ตลอดเวลา อาการทุกอย่างจะทุเลาดีขึ้นตามลำดับ
ถ้าเป็นไปได้งดการรับประทานเนื้อสัตว์ทุกชนิด ยกเว้นเนื้อปลาทานได้
ห้ามดื่มเครื่องดื่มมีอัลกอฮอร์ น้ำอัดลม (โดยเฉพาะน้ำอัดลมที่มีสีดำ) น้ำตาลทรายขาว
งดการรับประทานของหมักของดอง แตงโมเนื้อแดงๆ
สามารถใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบันที่รับจากโรงพยาบาลได้
[กลับด้านบน]
ป่วยเป็นโรคไทรอยด์ (แบบไม่เป็นพิษ) ถ้าดื่มเพื่อช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายจะต้องดื่มอย่างไร...…?
คือ กรณีโรคไทรอยด์ (แบบไม่เป็นพิษ) การใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % ให้ผสมน้ำ ดื่มได้ตามปกติ
1-5 วันแรก ให้ผสมน้ำ ปริมาณ 10 ซีซี / วัน / 1 ขวด (น้ำสะอาด 1.5 ลิตร)
6 - 15 วัน ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % โดยเพิ่ม ปริมาณเป็น 15 ซีซี / วัน / 1 ขวด (น้ำสะอาด 1.5 ลิตร)
หลังจาก 15 - 30 วัน ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % โดยเพิ่ม ปริมาณเป็น 20 ซีซี / วัน / 1 ขวด (น้ำสะอาด 1.5 ลิตร)
โดยทั่วไปหลังจาก 30 วัน อาการจะเริ่มดีขึ้น (แต่เฉพาะบางท่านที่สุขภาพร่างกายแข็งแรงมาก จะเห็นผลภายใน 15 วันแรกที่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์) โดยสามารถสอบถามอาการจากผู้ป่วยได้ตลอดเวลา สังเกตได้ว่าไม่เหนื่อยไม่เพลีย
ถ้าเป็นไปได้งดการรับประทานเนื้อสัตว์ทุกชนิด ยกเว้นเนื้อปลาทานได้
ห้ามดื่มเครื่องดื่มมีอัลกอฮอร์ น้ำอัดลม (โดยเฉพาะน้ำอัดลมที่มีสีดำ) น้ำตาลทรายขาว
งดการรับประทานของหมักของดอง แตงโมเนื้อแดงๆ
สามารถใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบันที่รับจากโรงพยาบาลได้
[กลับด้านบน]
ป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหารแบบเรื้อรัง เป็นมานานหลายปี ถ้าดื่มเพื่อช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายจะต้องดื่มอย่างไร...…?
ให้ใช้สารสกัดคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ ใช้ปริมาณ 10 ซีซี ดื่มแบบหัวเชื้อเข้มข้นไม่ต้องผสมน้ำ
ดื่มตอนเช้าก่อน 6 โมงเช้า และ ก่อนรับประทานอาหารประมาณ 20 นาที ทุกวัน จนกระทั่งอาการดีขึ้นโดยท่านสามารถสังเกตได้ด้วยตนเอง
ช่วงวันที่ 1 -2 อาการปวดท้อง แสบท้องจะลดน้อยลง
ช่วงวันที่ 3 - 7 อาการในช่วงนี้จะสังเกตได้ว่าไม่มีอาการแสบท้อง หรือปวดท้องก่อนรับประทานอาหาร หรือหลังรับประทานอาหาร
งดทานอาหารที่มีรสจัด
ห้ามทานอาหารทำลายกระดูก ได้แก่ ผงชูรส น้ำอัดลมที่มีสีดำ รวมถึงยาฆ่าแมลงจากผักและผลไม้
สามารถใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบัน เช่น ยาลดกรดที่รับจากโรงพยาบาลได้
%3 >[กลับด้านบน]
ป่วยเป็นโรคกรดไหลย้อน เป็นมานานหลายปี ถ้าดื่มเพื่อช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายจะต้องดื่มอย่างไร...…?
ให้ใช้สารสกัดคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ ใช้ปริมาณ 10 ซีซี ผสมน้ำ ครึ่งแก้วประมาณ 50 - 100 ซีซี
ดื่มตอนเช้าก่อน 6 โมงเช้า และ ก่อนรับประทานอาหารประมาณ 20 นาที ทุกวัน จนกระทั้งอาการดีขึ้น
ช่วงวันที่ 1 -2 อาการปวดท้อง แสบท้องจะลดน้อยลง
ช่วงวันที่ 3 - 7 อาการในช่วงนี้จะสังเกตได้ว่าไม่มีอาการแสบท้อง หรือปวดท้องก่อนรับประทานอาหาร หรือหลังรับประทานอาหาร
งดทานอาหารที่มีรสจัด
ห้ามทานอาหารทำลายกระดูก ได้แก่ ผงชูรส น้ำอัดลมที่มีสีดำ รวมถึงยาฆ่าแมลงจากผักและผลไม้
สามารถใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบัน ที่รับจากโรงพยาบาลได้
[กลับด้านบน]
ป่วยเป็นโรคกระดูกทับเส้น เป็นมา 6 เดือน มีอาการปวดมากบริเวณบั้นเอว ถ้าดื่มเพื่อช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายจะต้องดื่มอย่างไร...…?
เส้นประสาทถูกกดทับ เกิดจากการที่สันหลังคนเราประกอบไปด้วยกระดูกสันหลังชิ้นย่อยๆ เรียงต่อกันเป็นแนวจากต้นคอจนถึงก้นกบ ระหว่างกระดูกแต่ละข้อก็จะมีแผ่นกระดูกอ่อนที่เรียกว่า หมอนรองกระดูกสันหลัง คั่นกลางทำหน้าที่ป้องกันการเสียดสี และภายในโครงกระดูกสันหลังนั้นประกอบไปด้วยเส้นประสาทแตกแขนงจากไขสันหลังไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย เส้นประสาทที่แยกออกมาจากไขสันหลัง เรียกว่า รากประสาท ซึ่งจะอยู่ชิดกับหมอนรองกระดูก เมื่อหมอนรองกระดูกเคลื่อนตัวกดทับรากประสาทก็จะทำให้เกิดอาการปวดตามส่วนต่างๆ ที่เส้นประสาทส่งไปถึง
ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % ปริมาณ 15 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวัน
ในระยะเวลา 3 - 7 วัน ในช่วงนี้ จะเกิดในอาการอยู่ 2 กรณี
กรณีที่ 1 บางท่านอาจเกิดสภาวะครั่นเนื้อครั่นตัวจนถึงเป็นไข้ และมีอาการการปวดมากขึ้นมากกว่าเดิม ถ้าท่านปวดมากสามารถใช้ยาแก้ปวดแผนปัจจุบันร่วมด้วยได้เพื่อบรรเทาอาการ
กรณีที่ 2 บางท่านอาจไม่เกิดอาการปวดใดๆ แต่จะรู้สึกเบาเนื้อเบาตัวในช่วง 3 วันแรก อาการปวดน้อยลงกว่าเดิม จนไม่มีอาการปวดในช่วงหลังวันที่ 7
ในช่วง 8 - 14 วัน ให้ลดปริมาณคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % เป็น ปริมาณ 10 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวัน
ห้ามทานอาหารทำลายกระดูก ได้แก่ ผงชูรส น้ำอัดลมที่มีสีดำ รวมถึงยาฆ่าแมลงจากผักและผลไม้
สามารถใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบัน ที่รับจากโรงพยาบาลได้
[กลับด้านบน]
ปวดหัวไมเกรนเป็นประจำ ต้องการดื่มคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ต้องดื่มอย่างไร...…?
ปวดศีรษะแบบไมเกรน ไมเกรนเกิดขึ้นได้ทุกเพศทุกวัย แต่พบบ่อยในช่วงอายุ 22 – 55 ปี ผู้หญิงมีโอกาสมากกว่าผู้ชาย 3 เท่า อาการที่เกิดมักมีอาการปวดตุบๆ ที่ขมับหรือเบ้าตาซีกใดซีกหนึ่งตามจังหวะการเต้นของชีพจร แต่บางครั้งอาจปวดตื้อๆ อาจปวดข้องหนึ่งข้างสลับข้างกัน ระยะเวลาการปวดมักปวดเป็นชั่วโมง หรือเป็นวันๆ ก่อนปวดมักมีอาการตาพร่า ตาลาย ถ้าปวดรุนแรงจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย
สาเหตุการเกิดไมเกรน การแพทย์ตะวันตกปัจจุบันที่เจริญก้าวหน้ามาก ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการปวดศีรษะแบบไมเกรน เพียงแต่มีข้อสันนิษฐานว่าเกิดจากการบีบตัวหรือขยายตัวของหลอดเลือดในสมองมากกว่าปกติ จึงทำให้เกิดการปวดศีรษะขึ้นอย่างรุนแรงและรวดเร็ว
โรคไมเกรนบอกอะไร ? การบำบัดโรคไมเกรนในปัจจุบันเป็นการหยุดอาการปวดเป็นครั้งคราวเท่านั้น เมื่อหมดฤทธิ์ของยาก็ต้องใช้ยาซ้ำไปตลอด แต่อาการก็ไม่ได้หายขาดมักเป็นแบบเรื้อรัง ไมเกรนไม่ใช่แค่มีอาการปวดศีรษะเท่านั้นแต่เป็นการสะท้อนในเรื่องของความเสื่อมโทรมของร่างกาย การดูแลรักษาสุขภาพจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นและสำคัญ
การได้รับสารอาหาร ในสัปดาห์แรก ให้ใช้คลอโรฟิลล์ บริสุทธิ์ 100 % เพื่อปรับสภาพการได้รับสารอาหาร ปริมาณ 5 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวัน ประมาณ 2 – 5 วัน
ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % ปริมาณ 15 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวัน
ช่วงวันที่ 1 - 7 ในช่วงนี้
อาการปวดศีรษะจะมากขึ้น รวมถึงมีอาการไข้ ครั่นเนื้อครั่นตัว บางรายอาจมีไข้หลายวัน แต่ให้รับประทานต่อไปเรื่อยๆ
ช่วงวันที่ 8 - 15 อาการในช่วงนี้จะสังเกตได้ว่าความถี่ในการปวดหัวไมเกรนเริ่มลดน้อยลง อาการปวดจะค่อยๆ ลดลง และไม่พบอาการปวดในที่สุด
งดการนอนดึก พยายามหลีกเลี่ยงอารมณ์เครียด หาเวลาออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ
ห้ามทานอาหารทำลายกระดูก ได้แก่ ผงชูรส น้ำอัดลมที่มีสีดำ รวมถึงยาฆ่าแมลงจากผักและผลไม้
สามารถใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบัน ที่รับจากโรงพยาบาลได้
[กลับด้านบน]
อ่านคำถาม – ตอบ ชุดที่ 2